ในที่สุด Toyota เปิดตัวทางเลือกใหม่กับขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดสำหรับ Toyota ALPHARD PHEV และ Toyota VELLFIRE PHEV อย่างเป็นทางการ
ทั้งคู่เด่นด้วยสัญลักษณ์ PHEV หลังคาฝาท้ายบนคำว่า E-Four สำหรับ Toyota Alphard PHEV และ Toyota VELLFIRE PHEV
นอกนั้นเหมือนเวอร์ชันสันดาปและไฮบริดตั้งแต่กระจังหน้าโครเมียมพร้อมโลโก้สามห่วงครั้งแรกที่นำมาใช้ใน Alphard พร้อมไฟหน้าแบบ LED 3 ดวง พร้อมไฟ Daytime Running Lights ไฟเลี้ยวหน้า-หลังแบบ Sequential กระจังหน้าดีไซน์แนวนอน 6 ชั้นกับชุดกันชนหน้า ดีไซน์ใครดีไซน์มัน และกันชนหลัง และมีไฟตัดหมอกหน้า LED
ด้านข้างมีเอกลักษณ์ด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร เฉพาะรุ่น Alphard/VELLFIRE บริเวณประตูคู่หน้าตรงเสา B เสริมคิ้วโครเมียมเด่นทั้งกรอบกระจกทุกส่วน พร้อมกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ทรงสปูน พร้อมที่เปิดประตูโครเมียมแบบดึงก้านออกแบบหลุมก้านเปิดประตูให้เรียบเนียนกับตัวถัง ล้ออัลลอยใหญ่สุด 19 นิ้ว พร้อมยาง 225/55R19 ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 225/60R18 และขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/65R17
ด้านท้ายยังดูดีกว่าเดิมด้วยชุดแผงป้ายทะเบียนติดตรา Alphard/VELLFIRE ที่ออกแบบเว้นช่องว่าของตัวอักษรให้สวยงาม ข้างบนของชุดแผงป้ายทะเบียนติดตราสามห่วงไว้ สองฝั่งประดับด้วยไฟท้าย LED แบบเป็นเกล็ดเสริมขอบโครเมียมไว้กรอบไฟท้าย ส่วนรุ่น VELLFIRE มาพร้อมไฟท้าย LED รูปตัว U พร้อมกรอบโครเมียมเล็ก ประตูสไลด์ และฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า หลังคามูนรูฟ 2 บานตรงกลางซ้าย-ขวา จากพื้นฐาน TNGA (GA-K)ใหญ่ขึ้นทุกมิติตั้งแต่
- ความยาว 4,995 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,850 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,950 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 150 มิลลิเมตร
- ความจุถังน้ำมัน 47 ลิตรในรุ่น PHEV, 60 ลิตรในรุ่น HEV, 65 และ 75 ลิตรในรุ่นสันดาปล้วน
ภายในโดยในรุ่น PHEV มาพร้อมออปชันใหม่ด้วยเครื่องปรับอากาศสามารถทำงานด้วยการใช้ระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวจึงสามารถให้พื้นที่ความสะดวกสบายได้โดยไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อรถมีคนขับและยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ทางด้านรุ่นปกติทั้งเครื่องสันดาปล้วนและฟูลไฮบริดเปลี่ยนออปชันเช่นกระจกมองหลังจากตัดแสงอัตโนมัติกลายเป็นกระจกมองหลังแบบดิจิทัลพร้อมกล้องบันทึกการขับขี่โดยให้มา 2 จุดทั้งด้านหน้าและด้านหลังและในรุ่น Z กับ Z Premier เพิ่มออปชันทั้งลำโพง JBL 15 จุด จอหลังเบาะนั่งคู่หน้ามาแบบ 14 นิ้ว และจอสัมผัสขนาด 9.8 นิ้ว พร้อมลำโพง 8 จุดในรุ่น Alphard HEV X 8 ที่นั่ง
ออปชันเดิมด้วยงานออกแบบที่หรูหราตอบโจทย์ผู้นำเริ่มที่ ชุดเบาะนั่งหุ้มหนังแท้ Premium NAPPA ด้วยโทนสีดำ พร้อมออปชัน เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้าโดยด้านคนขับปรับได้ 8 ทิศทางพร้อมระบบความจำ 3 ตำแหน่งและผู้โดยสาร 4 ทิศทาง
เบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองทั้งแบบปกติและแบบ VIP Executive Lounge แยกอิสระปรับได้ 10 ทิศทาง พร้อมเบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet 5.5 นิ้ว คอนโซลด้านบนห้องโดยสารแบบ Super-long Overhead Console พร้อมจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 14 นิ้ว Smart Comfort Program สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสอง เบาะนั่งผู้โดยสารตอนที่สามนั่งได้สามที่นั่งสามารถพับได้แบบ 50/50 ชุดแผงคอนโซลหน้าบุด้วยหนังสัมผัสเดินด้ายอย่างประณีต
จอสัมผัสขนาดใหญ่ตั้งแต่ 14 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอป T-Connect เชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay ไร้สาย, Android Auto และระบบนำทาง เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ 4 โซนพร้อมระบบฟอกอากาศ NANOE X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้า มาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านออกแบบใหม่หุ้มหนังปรับสูง-ต่ำ ใกล้-ไกล 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า
จอแสดงข้อมูลการขับขี่เหนือแผงคอนโซลหน้า Head-Up Display ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า ไฟสร้างบรรยากาศแบบ LED Ambient Illumination Light ปรับได้ 64 สี ลำโพงคุณภาพพรีเมียม JBL 15 จุด ช่องชาร์จแบบเสียบสายผ่าน USB ด้านหน้า 3 จุดและด้านหลัง 4 จุด ที่ชาร์จมือถือไร้สายและเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold
ขุมพลังรุ่น PHEV ยกมาจาก Lexus RX450h+ ด้วยเบนซิน PHEV Dynamic Force ขนาด 2.5 ลิตร รหัส A25A-FXS ให้กำลังมากสุด 177 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 219 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor 5NM ให้กำลังมากถึง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร สำหรับล้อหน้าและล้อหลังแบบ 4NM ให้กำลัง 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 18.1 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้ารวม 306 แรงม้า ประหยัด 16.7 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC
วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า EV ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งอาจได้ 73 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTC โดยชาร์จกระแสสลับ AC แบบ Type 2 รองรับกำลังการชาร์จสูงสุด 6.6 kW คู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อม Sequential Shift พร้อมโหมดการขับขี่ถึงสี่โหมดได้แก่ EV,EV/HEV,HEV และชาร์จแบตเตอรี่ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ e-Four มอเตอร์ไฟฟ้าแบบติดตั้งด้านหลัง กระจายแรงบิดระหว่างล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง ได้ตั้งแต่ 100:0 ถึง 20:80
ทางด้านขุมพลังสันดาปและฟูลไฮบริดมีครบครันทั้งเบนซิน Dynamic Force Turbo ขนาด 2.4 ลิตร T24A-FTS ให้กำลังถึง 279 แรงม้า 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 1,700-3,600 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ Direct Shift เลือกได้ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ สำหรับ VELLFIRE รุ่น Z Premier 7 ที่นั่ง
และเบนซินยอดนิยมขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-I 2AR-FE 182 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาทีแรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด Sequential Shift มาประจำการด้วยเลือกได้ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อสำหรับ Alphard รุ่น Z
พร้อม HEV-Hybrid เบนซิน Dynamic Force A25A-FXS 2.5 ลิตร ให้กำลังถึง 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 236 นิวตันเมตร ที่ 4,300-4,500 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าแบบ 5NM ให้กำลัง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าหลังแบบ 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่ Hybrid แบบ Nickel-Metal ทำงานร่วมกันได้กำลังสูงถึง 250 แรงม้าแรงบิด 315 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อม Manual Mode 6 สปีด มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four และขับเคลื่อนสองล้อหน้า ความปลอดภัย Toyota Safety Sense ทั้ง
- เตือนการชนด้านหน้า Pre-Collision System (PCS) สามารถทำงานตอนกลางคืนและเบรกขณะข้ามแยกได้
- ควบคุมความเร็วและระยะห่างหน้ารถแบบทุกย่านความเร็ว All-Speed Dynamic Radar Cruise Control (DRCC) พร้อมหยุดและเคลื่อนรถอัตโนมัติ
- เตือนรถออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยช่วย Lane Departure Alert (LDA)
- ช่วยให้รถอยู่ตรงกลางแม้ไม่มีเส้นจราจร LTA (Lane Tracing Control)
- ช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ Lane Change Assist (LCA)
- เปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam (AHB)
- ไฟสูงปรับการกระจายแสงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam System (AHS)
- อ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition (TSR)
- เตือนเมื่อรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า Traffic Movement Notification (TMN)
- หักเลี้ยวสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ PDA (Proactive Driving Assist)
- ช่วยลดความเร็วขณะเข้าโค้ง Curve Speed Reduction (CSR)
- เตือนมุมอับด้านหน้า FCTA (Front Cross Traffic Alert)
- เตือนรถด้านข้าง Blind Spot Monitoring (BSM)
- เตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- เตือนขณะออกจากรถ Safe Exit Assist (SEA)
กระจกมองหลังแสดงภาพจากกล้องด้านหลัง ล้างเลนส์กล้องจากการฉีดน้ำ เซนเซอร์รถอัจฉริยะสามารถเบรกอัตโนมัติเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง Intelligent Clearance Sonar ถุงลมนิรภัยรอบคัน
เบื่องต้น Toyota Alphard PHEV และ Toyota VELLFIRE PHEV ขายรุ่นเดียวคือ Exclusive Lounge 6 ที่นั่งเตรียมขายญี่ปุ่น 31 มกราคม 2025 เริ่มต้น 10,650,000-10,850,000 บาท หรือราว 2,344,000-2,385,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทย แต่ถ้านำมาขายไทยจะอยู่ที่ 4,999,000-5,085,000 บาท
ทางด้าน Toyota Alphard และ Toyota VELLFIRE รุ่นปี 2025 ทั้งสันดาปล้วนและฟูลไฮบริดมาพร้อมสีใหม่ สี Precious Metal สำหรับ VELLFIRE และยังเพิ่มรุ่น X 8 ที่นั่งสำหรับ Alphard HEV ขายญี่ปุ่น 7 มกราคม 2025 เริ่มต้น 5,100,000-9,020,000 YEN หรือราว 1,125,000-1,985,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทย แต่ถ้านำมาขายไทยจะอยู่ที่ 2,399,000-4,235,000 บาท
ที่มา Carwatch