More

    รีวิว! Ford Ranger Wildtrak 2022 หล่อสุดพลัง สะใจคนพันธุ์ลุย

    เกิดมาแกร่ง เป็นนิยามของรถกระบะจากแดนมะกันที่เข้ามาทำตลาดในไทยมายาวนานแถมเป็นผู้สร้างนวัตกรรมด้านความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ

    Ford

    เท่านั้นยังไม่พอยังยกระดับความเป็นรถกระบะให้พรีเมี่ยมขึ้นเจาะกลุ่มคนเมืองจากเดิมเป็นกลุ่มคนทำงานเป็นหลักโดยออกแบบมาให้ใช้งานหลากรูปแบบทั้งงานราษฎรและงานหลวงเรียกว่าครบจบในคันนี้เดียวคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Ford Ranger ที่ครั้งนี้มาเป็นเจเนอเรชั่นที่สี่ ในรหัส T6.3 เปิดตัวตั้งแต่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยไทยเป็นประเทศต้นๆของโลกที่เปิดตัวและจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยในช่วงแรกจะจำหน่ายเพียง 2 รุ่นย่อยทั้งรุ่นท็อปสุด Wildtrak และรุ่นใหม่ Sport จนสร้างยอดขายเป็นประวัติการณ์มากถึง 2,589 คัน ซึ่งมากจากรุ่น Wildtrak นั่นเอง และเพื่อเปิดประสบการณ์การขับขี่แบบเกิดมาแกร่งทาง Ford จึงจัดทดสอบกลุ่มกับสื่อมวลชนไทยกลุ่มแรกของโลกหนึ่งในนั้นมีทีมงาน Car2Day ร่วมในทริปข้ามสามจังหวัด ภูเก็ต – พังงา – กระบี่ และรุ่นที่ทดสอบนั้นเป็น Ford Ranger Wildtrak Bi-Turbo สี่ประตูทั้งรุ่นขับเคลื่อนสองล้อและขับเคลื่อนสี่ล้อ

    Design & Exterior

    Ford

    จริงๆแล้วตระกูล Wildtrak เกิดขึ้นในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2007 แต่งเสร็จจากโรงงานในร่างเจนที่สองเริ่มแรกชื่อนี้ยังไม่แพร่หลายในกลุ่มสิงห์รถกระบะแต่มาดังเปรี่ยงปร้างตอนเจนที่สาม T6.1 ในปี 2012 เป็นจุดเริ่มต้นของกระบะมาดหล่อสำอางจนถึงวันนี้เจนที่สี่ T6.3 รับช่วงความสำเร็จด้วย ทรวดทรงใหม่หมด เริ่มกันที่ด้านหน้ากระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่สีดำเข้มไส้ในเป็นรังผึ้งพร้อมโลโก้วงรีสีน้ำเงินทับเส้นแนวนอนสองเส้นพร้อมไฟหน้ารูปตัว C แบบ Matrix LED ที่มีไฟ LED Daytime รูปตัว C ในโคมเดียวกัน กลมกลืนกับชุดเสริมกันชนหน้าและส่วนล่างมีคิ้วชายล่างสีเงินและไฟตัดหมอกหน้า LED โดยรวมแล้วแกร่งลงตัวเลยทีเดียว

    Ford

    ด้านข้างทรงเสน่ห์เน้นความหนักแน่นดุดันแต่แฝงด้วยความหรูหราในคันเดียว เอกลักษณ์เด่นกับช่องระบายอากาศสีดำกับสัญลักษณ์ Bi-Turbo ซึ่งบอกได้ว่าคันนี้คือรุ่นเทอร์โบคู่ในชุดบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา กระจกมองข้างสีดำขนาดใหญ่ออกแบบให้มองเห็นชัดขึ้นพร้อมไฟเลี้ยว ปรับพับได้ด้วยระบบไฟฟ้าและซ่อนไฟส่องใต้พื้นมาให้ ที่เปิดประตูดีไซน์ดึงก้านสีเดียวกับตัวรถ บันไดข้างขึ้นรูปขึ้นลงง่ายตกแต่งสีดำขอบสีเงิน ล้ออัลลอยสีดำเข้มลายดุ 18 นิ้ว พร้อมยางที่ครั้งนี้ปรับลดความกว้างของหน้ายางและเพิ่มความสูงของแก้มยาง มาเป็นขนาด 255/65 R18 แถมยังเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ Goodyear Wrangler Territory H/T (เดิมเป็น 265/60 R18 จากยาง H/T Bridgestone Dueler) กับคิ้วขอบล้อสีดำติดตั้งที่บังโคลนหน้าและหลังสี่ข้าง สปอร์ตบาร์ที่กระบะท้ายดีไซน์เก๋มีช่องสามารถผูกของได้ อีกหนึ่งจุดเด่นกับกระบะท้ายออกแบบให้มีบันไดเหยียบข้างกระบะท้ายบริเวณด้านหลังล้อหลังช่วยให้ผู้ขับขี่จัดเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบได้หลากหลายและเสาอากาศเป็นเสาสั้นผสมกับความเป็นครีบฉลามติดหลังคารถด้านหลัง

    Ford

     

    กระบะท้ายมีลูกเล่นกับขอบกระบะท้ายมีสปอยเลอร์ในตัวพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ขนาดเล็กรวมในชุดที่เปิดฝากระท้ายมีกุญแจล็อกกันขโมยชุดไฟท้าย ดีไซน์กระบะท้ายนูนหนาติดตั้งโลโก้ Ford กับชื่อรุ่น Wildtrak ฝั่งขวามือ ฝั่งซ้ายมีชื่อคำว่า 4×4 ซึ่งหมายถึงรุ่น Wildtrak มีรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือกและด้านล่างปั้มนูนกับคำว่า Ranger ขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจน ขนาบข้างด้วยไฟท้ายเป็นแบบ LED รูปเลขสาม และกันชนหลังขึ้นรูปสีดำเข้ม สบายด้วยการเปิดปิดฝาท้ายแบบผ่อนแรง (Easy Lift) ช่วยผ่อนแรงเป็นการผสมระหว่างฝาท้ายกับทอรชั่นบาร์ติดตั้งใต้กระบะท้ายภายในกระบะท้ายมีไลเนอร์สีดำติดจากโรงงานรวมถึงช่องต่อไฟแบบ AC รองรับกำลังไฟถึง (400 W) 12 V และ 230 V สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และทำงานร่วมกับขอบกระบะท้ายสามารถดัดแปลงใช้หนีบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ได้เช่นกัน

    ตัวรถพัฒนามาจากแพลตฟอร์มเดิม T6 แต่ก็มีการขยับขยายของตัวรถและกระบะท้ายใหญ่พอสมควรเกือบทุกมิติ ภายใต้ตัวรถที่ออกแบบขึ้นใหม่มีแชสชีสที่แข็งแกร่ง 3 ส่วนไม่ใช่ชิ้นเดียวคือเสียจุดไหนซ่อมจุดนั้น บนฐานล้อที่มีความยาวขึ้น 50 มม. และความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 50 มม. เมื่อเทียบกับเจนที่แล้ว และยังขยับให้ล้อหน้าขึ้นมาด้านหน้าอีก 50 มม.

    Interior & Convenience

    Ford

    ในเมื่อเป็นเจนใหม่ทุกอย่างต้องใหม่ถอดด้ามภายในก็เช่นกันดีไซน์ใหม่หมดจนลืมความเป็น Ranger เจนที่แล้วออกไปแล้วริ่มที่เบาะนั่งด้วยจุดเด่นของเบาะนั่งเจนที่แล้วดีไซน์นั่งสบายและติดขัดตรงที่ปีกซ้ายขวาโอบเข้าแกนกลางลำตัวเกินไปยิ่งคนไซส์ M อย่างผมมีพื้นที่ให้ขยับนิดเดียว กลายเป็นเบาะนั่งดีไซน์ใหม่เรียกว่าโดนใจคนทุกไซส์ก็ว่าได้ โดยปีกซ้าย-ขวาขยายให้กว้างขึ้นรองรับทุกอิยาบถของสรีระผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นอย่างดี หมอนรองศรีษธเที่ยวนี้ออกแบบใหญ่ขึ้นตัวหมอนบางลงและไม่ดันหัวอีก งานนี้ Ford ใจดีให้ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางมาทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งพร้อมดันหลังหรือ Lumbar Support ปรับไฟฟ้า เรียกว่าน่าจะเป็น Best in Class ก็ว่าได้ ส่วนเบาะหลังนั้น นั่งสบายด้วยตัวเบาะออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งเอนลงไปนิดนึงผลคือมีพื้นที่วางขาเหลือเฟือโดยตัวเบาะหลังพับแบบ 100 %กับหมอนรองศีรษะ 3 จุด  ชุดรองนั่งสมารถพับขึ้นเพื่อบรรทุกของยาวๆกว้างๆเช่นทีวี ต้นไม้ ถุงกลอ์ฟ หรือ เคสกีตาร์แบบฮาร์ดเคสได้ พร้อมที่วางแก้วในชุดที่พักแขนพร้อม ISOFIX สำหรับติดตั้งที่นั่งเสริมสำหรับเด็กเล็กๆ โดยเบาะที่นั่งนั้นหุ่มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้ดำเข้มขลิปส้ม ปักคำว่า Wildtrak ในตัวเบาะคู่หน้า และภายในมาโทนสีดำเข้มทั้งหมด

    Ford

    มาที่แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ตัวทีออกแบบเข้มด้วยโทนสีดำทั้งชุด มีวัสดุหนังสัมผัสสีดำขลิปส้มมาให้และปักชื่อ Wildtrak ไว้ให้ได้รู้ว่านี่คือรุ่นท็อป ช่องแอร์แนวตั้ง ลงตัวอย่างแนบเนียนด้วยมาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 8 นิ้ว รวบรวมฟังก์ชั่นการใช้งานของรถไว้ทุกอย่างทั้งมาตรวัดความเร็ว รอบเครื่อง บันทึกความเร็ว ปรับตั้งค่าตัวรถต่างๆเป็นต้น ที่อ่านแล้วอาจงงๆบ้างในส่วนของรอบเครื่องยนต์เป็นแนวตั้งและความเร็วเป็นได้ทั้งตัวเลขและแบบคลาสสิกก็มี พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน ปรับสูง-ต่ำ เข้า-ออกได้ 4 ทิศทางพร้อมพรั่งด้วยปุ่มควบคุมการทำงานต่างทั้งควบคุมมาตรวัด ควบคุมความเร็วอัตโนมัติและเครื่องเสียงจับกระชับสบายมือหุ้มหนังขลิบสีส้ม บนคอนโซลหน้ามีระบบแจ้งเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งรวมถึงแจ้งการทำงานเปิดปิดถุงลมนิรภัยด้านคนนั่งสำหรับติดตั้งเบาะเสริมเด็กเล็ก ชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วยระบบเชื่อมต่อการสื่อสารผ่านหน้าจอสัมผัสแนวตั้งขนาด 12 นิ้ว Multi Touch สั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ที่การใช้งานต่างถูกรวบรวมไว้ในจอนี้ รองรับ Apple Car Play ไร้สาย Android Auto Bluetooth  ใช้งานแรกๆอาจมึนงงซึ่งส่วนตัวมองว่าก็ทันสมัยนะแต่บางทีฟังก์ชั่นที่จำเป็นออกมาจากจอดีกว่าไหมเช่นปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลังกับปุ่ม Auto Hold แยกเฉพาะมาดีกว่า ข้างล่างจะเป็นปุ่มการทำงานของเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา รายล้อมด้วยช่องแอร์แนวตั้งซ้าย-ขวา เก๋ดีกับที่ชาร์จมือถือไร้สายช่องต่อ USB คอนโซลเกียร์โดยเฉพาะด้ามจับและถุงเกียร์ดีไซนคุ้นเคยจาก Ranger เจนที่แล้ว หุ้มหนังขลิบส้มซึ่งน่าจะปรับดีไซน์ใหม่ให้ลงตัวกว่านี้ แต่ที่ทดแทนได้คือเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold ที่วางแก้วสองจุดข้างๆคอนโซลเกียร์ มีปุ่มกลมๆทำงานระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมปุ่มโหมดการขับขี่และปุ่มๆเล็กข้างๆปิดระบบ TCS ปิดสัญญาณกะระยะการจอดพร้อมกล่องคอนโซลกลางหุ้มหนังขลิบส้ม ข้างหลังมีช่องแอร์และช่องต่อไฟ 230 V (400W) หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จสมารท์โฟนใช้งานโน๊ตบุ๊คได้สบายๆ กุญแจรีโมทอัจฉริยะดีไซน์คุ้นตากับปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ และยังเอาใจคนชอบบันทึกด้วยช่องชาร์จไฟ USB บริเวณกระจกมองหลังอัตโนมัติ

    Engine & Transmission

    Ford

    สำหรับเมืองไทยผูกขาดกับขุมพลังดีเซลเทอร์โบเดี่ยวและคู่ขนาดเดิม 2 ลิตร แต่เมื่อมาในร่างเจนใหม่ที่มีการปรับปรุงกันหน่อยเพื่อเข้ากับความชาญฉลาดโดย Ford Ranger Wildtrak ทั้งรุ่นขับเคลื่อนสองล้อและขับเคลื่อนสี่ล้อที่ได้ทดสอบขับนั้นเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร YN2Q แต่พัฒนาให้กำลังลดลงแถมลดรอบเครื่องยนต์ไปเป็น 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที (เดิม 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที) แต่ยังจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด +/- รุ่น 10R80 ที่งานนี้เพิ่มระบบการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ normal, โหมดประหยัด, eco, โหมดถนนลื่น slippery, โหมดลากจูงและบรรทุก tow/haul ในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อกับขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเพิ่มโหมด Terrain Management มาอีกสองโหมดคือ โหมดโคลน mud/ruts และโหมดทราย sand โดยรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นแบบ Part-Time Shift On The Fly ระบบเฟืองท้ายแบบ Electronic Diff-lock ควบคุมด้วยไฟฟ้า ลุยน้ำสูงสุด 800 มิลลิเมตร

    Handling & Ride

    Ford

    จากที่พักสุดหรู หาดไม้ขาวภูเก็ต เดินทางข้ามไปจังหวัด พังงา กระบี่ ระยะทางไปกลับ 180 กว่ากม. โดยเริ่มต้นที่รุ่น Wildtrak Bi-Turbo ขับเคลื่อนสองล้อ บังเอิญว่าเส้นทางที่ไปในวันนั้นฝนตกหนักทำให้การขับขี่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยสำหรับออนโรด แต่พอจับอาการได้บ้างอย่างเช่นถ้าเหยียบคันเร่งไป 30-50% ตัวรถจะพุ่งทันที งานนี้ขาซิ่งตีนหนักประทับใจแน่นอน เรื่องความเงียบของเสียงเครื่องความนิ่งทำงานได้ราบเรียบกว่าเจนที่แล้วเครื่องเทอร์โบคู่และเทียบเท่าได้กับเครื่อง 5 สูบ 3.2 ลิตรผนวกการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารทำได้ดีขึ้นโดยทาง Ford ตั้งใจออกออกแบบวัสดุดูดซับเสียงให้หนาขึ้นช่วยให้การขับขี่นั้นสนุดอภิรมย์มากขึ้น เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เซตระบบมาทำงานได้ราบรื่นสมูทไม่กระโดดไปมาเช่นเข้าเกียร์ 1 ไป 3, 2 ไป 4, 3 ไป 5 หรือ 4 ไป 6 เหมือนเจนที่แล้ว และยังมี +/- เร่งแซงอย่างฉับไวผนวกกับโหมดขับขี่สี่โหมด Terrain Management ช่วยให้การขับขี่สร้างความหฤหรรษ์ไปอีกขั้น

    Ford

    พอมาถึงภาคโหด หนัก ลุย กับโลเกชั่นเดียวกันที่หนังเรื่อง Fast 9 มาถ่ายทำนั่นคือเหมืองเอราวัณ เอเชีย แถววัดบางเตย จ.พังงา เนรมิตกลายเป็นสนามออฟโรดจำลองที่รวมสถานการณ์เกือบจริงไว้ให้กลุ่มสื่อมวลชนรวมผมได้ชิมรสชาติความสะใจกันถึงแปดสถานีในชื่อสนาม Ford Ranger Ville เปลี่ยนมาขับรุ่น Wildtrak Bi-Turbo ขับเคลื่อนสี่ล้อ ไม่ว่าจะสถานีเนินชัน, สถานนีแอ่งน้ำ, ถนนลื่น, ทางโคลน, พื้นกรวด, ทางหิน, ทางทรายและลุยออฟโรด เพราะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Part Time ที่ทำงานปรับเปลี่ยน 2H เป็น 4H ได้ฉับไวไม่ต้องหยุดรถ ผนวกกับโหมดการขับขี่ที่เพิ่มมาอีกสองฟังก์ชั่น จากเดิมมีสี่รวมเป็นหกฟังก์ชั่นช่วยให้ทุกอุปสรรคผ่านได้อย่างง่ายๆกล้วยๆ

    Ford

    เริ่มที่สนามพิชิตเนินชัน ‘Hill Maneuvering กับสถานนีผ่านแอ่งน้ำ Water Wading ใช้ 4H คู่กับโหมดปกติ โดยเฉพาะสถานีเนินชัน ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC มารอบนี้ทำงานไม่กระตุกไม่หน่วงจับอาการสมูท เพราะมีระบบปรับความดันเบรกอย่างต่อเนื่องลดการลื่นไหลและรักษาความเร็วคงที่เมื่อขับลงทางลาดชันแถมมุมจากด้านหลัง 23 องศา (เดิมมุมกจาก 21 องศาของเจนที่แล้ว) สถานีแอ่งน้ำที่มีความลึกไม่มากนักและตัวรถลุยน้ำได้ถึง 800 มม. กับทางลื่น Slippery Track โดยความดีที่น่ายกย่องให้กับฟังก์ชั่นกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ที่นอกจากใข้ยามออนโรด ยามออฟโรดก็มีประโยชน์เช่นกันในการขึ้นลงเนิน ระวังหินก้อนใหญ่เบียดตัวรถ  รู้ระดับน้ำที่จะลุยได้ สัมผัสถึงมุมมองในการขับขี่ในพื้นที่แคบที่ดีขึ้น ควบคุมทิศทางของพวงมาลัยและบังคับอีกต่างหาก กับ ฝากระโปรงหน้าใหม่ที่ออกแบบมาไม่เล่นระดับมากช่วยให้กะระยะในการผ่านอุปสรรคต่างๆง่ายขึ้นและกล้องรอบคันใช้ในทางออฟโรดถ้าไม่มีก็เสียดายแน่แท้

    Ford          

    บางสถานีที่จำเป็นต้องใช้ 4L นั้นไม่ต้องครับ ใช้ 4H บวกกับโหมดการขับขี่ก็สามารถผ่านไปได้อย่างเช่นสถานีทางโคลน Mud Track เข้าโหมดโคลน Mud Mode พ่วงกับขับเคลื่อนสี่ล้อความเร็วสูง หรือ 4H พร้อมโชว์การทำงานของระบบล็อกเฟืองท้ายไฟฟ้าถ่ายเทกำลังของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้งสี่  ยิ่งทางหิน ‘Rocky Terrain’ ลองปรับมาใช้โหมดปกติ Normal mode พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อความเร็วต่ำหรือ 4L พ่วงระบบล็อกเฟืองท้าย ทดสอบแรงบิดในรอบต่ำผลงานออกมาทำได้เยี่ยม ลุยไปลุยมาถึงสถานีสุดท้าย ลุยทางออฟโรด Off-Road Maneuvering กลับมาใช้โหมดปกติ (Normal mode) เข้า 4H ด้วยความทรงพลังของเครื่องยนต์ 210 ม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร และอัตราทดเกียร์ที่เซ็ตไว้รองรับทุกเส้นทาง โชว์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการขับขี่ออฟโรดโดยรวมที่ดีแถมปรับในส่วนมุมเงยที่ 30 องศา (เดิมมุมเงย 28.5 องศาในเจนที่แล้ว) กับความสูงใต้ท้องรถปรับสูงขึ้นอีก 5 มม. เป็น 235 มม. และปรับจูนช่วงหน้าให้รองรับการขับขี่แบบออฟโรดให้ดีขึ้น เรียกว่าทุกสถานีที่กล่าวมานั้นสำคัญที่ว่าการควบคุมพวงมาลัย การเดินคันเร่งแบบนุ่มนวลเนิ๊บๆ Walking Speed ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตรงตามสถานการณ์และที่ขาดไม่ได้เลยคือทักษะประสบการณ์ ยิ่งเป็นใบเบิกทางให้ไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แบบไม่ต้องไปนั่งกินข้าวลิงรอรถมาลากอีก

    Fordขากลับเข้าโรงแรมหรูที่หาดไม้ขาวกลับมาขับรุ่น Wildtrak Bi-Turbo ขับเคลื่อนสองล้ออีกครั้ง ถึงเส้นทางขากลับเต็มไปด้วยฝนทางโค้งลื่นๆหลายจุดแต่วยช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กันโคลง ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อที่ครั้งนี้ปรับขนาดแผ่นเหลือ 5 แผ่น และโช้กอัพหน้าหลังแบบโมโนทูปจากที่เคยหนึบนำนุ่มตามทุกโค้งมันมีความนิ่ง ไม่โคลง และมาเติมเต็มด้วยโช้กอัพโมโนทูบยิ่งทำให้หนึบขึ้นกว่าเดิมแต่ความนุ่มนวลมีบ้างเล็กน้อยไมโคลง พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS น้ำหนักดีไม่ว่าจะทางเรียบทางลุยสารพัดก็มั่นใจควบคุมโค้งจิกเนียนๆ รวมถึงระบบห้ามล้อที่หันมาคบดิสก์เบรกสี่ล้อ น้ำหนักการเหยียบเบรกจะหนักไปแต่ก็หยุดได้ค่อนข้างลึกแต่ก็หยุดฉับไวเมื่อเหยียบไป 30 % และยิ่งเป็นดิสก์สี่ล้อตามปกตินิสัยต้องกะระยะรถคันหน้าดีๆและที่ขาดไม่ได้เลยคืออัตราสิ้นเปลืองโดยวัดจากมาตรวัดไปกลับนั้นทำให้ 13.5 กม./ลิตรในรุ่น ขับเคลื่อนสองล้อ และ  10.8 กม./ลิตรในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เรียกว่าพอใช้ได้และถ้ามีโอกาสยืมเดี่ยวคงได้จับอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่านี้มารายงานให้แฟนๆที่ติดตามทราบในครั้งต่อไป

    Safety & Feature

    Ford

    ความปลอดภัยของ Ford Wildtrak Bi-Turbo ขับเคลื่อนสองล้อและขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นให้มาเท่าๆกัน อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด รอบคัน รวมถุงลมบริเวณหัวเข่า ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ป้องกันล้อหมุนฟรี ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM ควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC เบรกมือไฟฟ้า สัญญาณกันขโมย สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง 4 จุด

    Ford

    มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ขั้นสูง ทั้ง ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering  เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support  ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน  Lane Departure Warning ตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking  กล้องมองรอบคัน 360 องศา ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist และช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist

    Verdict

    Ford

    การปรับโฉมใหม่หมดในรอบ 10 ปีของ Ford Ranger Wildtrak เรียกได้ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทั้งภายนอกหล่อคมสัน ดุดัน โหดอย่างชายชาตรีแอบสำอางเล็กน้อย ภายในหรูเกินรุ่น พร้อมจอใหญ่แนวตั้ง 12 นิ้ว ที่ขัดใจกับบางฟังก์ชั่นที่ใช้งานยากแต่ชุดเบาะนั่งดีไซน์โอบดีขับขี่ไม่เมื่อยล้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าไม่สามารถปรับได้ พลังเครื่องเทอร์โบคู่ 210 ม้า ถึงจะหั่นกำลังไปแต่ความจัดจ้านก็ยังอยู่แถมปรับเซ็ตเพิ่มความร้อนแรงขึ้นไปอีก เก็บเสียงเยี่ยมเหมือนยุคเจนที่แล้วเครื่อง 5 สูบ ช่วงล่างหนึบขึ้นด้วยโมโนทูป ความปลอดภัยครบครันในราคา 1,159,000 บาทในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ และ 1,299,000 บาทในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อถือว่าค่าตัวสมกันดี

    งานนี้สาวกวงรีสีน้ำเงินที่รักกันมานานก็ยิ่งรักคันนี้เพิ่มขึ้น แต่ส่วนต่าง 5 แสนกว่าบาทถ้าไปเทียบกับ Ford Ranger Raptor เบนซิน V6 แถมช่องว่าห่างกันมากขนาดนี้ Ford Ranger Wildtrak ดีเซลเทอร์โบ Power Stroke V6 3.0 สมควรต้องมาจริงๆถ้าไม่แคร์เรื่องภาษีรถในเมืองไทย เอามาเถอะครับแฟนๆชาวไทยที่ไม่แคร์ค่าน้ำมันเขารออยู่

    Ford

    ขอขอบคุณ บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Car2Day เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบ Next-Generation Ford Ranger

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts