More

    พาเหรดรถใหม่…จ่อเข้าไทยครึ่งปีหลัง ปี 2022

    ขอต้อนรับสู่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 เป็นช่วงที่ปัจจจัยภายนอกและภายในล้วนทำให้เกิดอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทยเป็นอย่างมาก

    Car

    ไม่ว่าจะเรื่องการขาดแคลนเซมิคอนดั๊กเตอร์ที่ยังเป็นปัญหาประจำมาตั้งแต่ช่วงปีสองปี สงครามรัสเซีย-ยูเครน การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกรวมถึงเมืองจีนจนต้องล็อคดาวน์ส่งผลเรื่องซัพพลายแบตเตอรี่ สำหรับรถไฟฟ้า ฯลฯ มีกระทบต่อตลาดรถยนต์เมืองไทยจนหลายค่ายต้องหาทางออกเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างทันท่วงที ถึงแม้ยอดขายรถยนต์ในไทยช่วง 4 เดือนแรกส่งสัญญาณดีให้ตลาดฟื้นตัวด้วยตัวเลข 294,616 คัน เพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบกับช่วง 4 เดือนของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากมาตรการส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง

    แต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 นี้ ค่ายรถยนต์หลายค่ายไม่หวั่นเดินหน้าพร้อมที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่กัน เพื่อต้อนรับงานแสดงรถยนต์ที่จะเกิดขึ้นทั้งงาน Fast Auto Show Thailand Big Motor Sale และงานใหญ่ส่งท้ายปีอย่าง Motor Expo เพื่อตอบทุกความต้องการทาง Car2Day จึงรวบรวมและคาดการณ์กับรถยนต์ที่จะเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 เริ่มที่

    AUDI : AUDI A8 Facelift

    AUDI พร้อมรับมือ ส่งหน้าใหม่ AUDI A8 Facelift ปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 4 ปี เริ่มที่กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม ดีไซน์ใหม่ลากยาวไปถึงกันชน พร้อมไฟหน้า Matrix HD LED ออกแบบใหม่ กับเส้นสายเดิมที่ยังคงหรูหราคลาสสิกด้วยกระจกโอเปร่า พร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลายใหม่พร้อมยาง 265/40R20 ส่วนด้านท้ายยังคงเดิมด้วยไฟท้าย OLED แนวยาววพร้อมแถบโครเมี่ยมช่วยให้ตัวรถดูมีเสน่ห์ขึ้นส่วนภายในยังคงเดิมทั้ง มาตรวัดขนาดใหญ่Audi Virtual Cockpit 12.3 นิ้วแสดงผลการทำงาน และตั้งค่าต่างๆ ของตัวรถ สั่งงานผ่านระบบ MMI Navigation plus with MMI touch response รวมถึงระบบความบันเทิงด้วยจอแสดงผลขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว และจอสัมผัสแสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศขนาด 8.6 นิ้ว และลำโพงมากถึง 23 ตัว กำลังขับ 1920 วัตต์จาก 3D Bang & Olufsen ลายไม้กับวัสดุหนังเกรดสูง เบาะหลังมีแบบ สองกับสามที่นั่ง โดยรุ่นเบาะหลังสองที่นั่ง คั่นกลางด้วยคอนโซลกลาง ช่องเก็บของขนาดใหญ่และที่พักแขน และจอแสดงผลขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว 2 ฝั่ง

    ด้านขุมพลังคงเดิมด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ TFSI Mild Hybrid (55 TFSI) ขนาด 3.0 ลิตร V6 340 แรงม้าที่ 5,000-6,400 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,370-4,500 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อในระบบ Quattro ในรุ่น A8 L 55 TFSI quattro

    BMW : BMW 7 Series & BMW i7/ BMW X7 LCI/BMW 3 Series LCI/BMW i3 Sedan

    BMW

    ถ้ามาทันปลายปีคงได้พบกับอัครยนตกรรมหรูจากเมืองมิวนิก ที่มาพร้อมกันถึงสองรูปแบบในร่างเดียวกันกับ The New BMW 7 Series และ The New BMW i7 หน้าตาเด่นด้วยกระจังหน้าไตคู่ทรงอลังการงานสร้าง ไฟหน้า Crystal LED ตาสองชั้นแบบเดียวกับรุ่น X7 LCI ที่ปรับโฉมได้ไม่นาน ส่วนบนจะเป็นไฟ LED Daytime พร้อมเส้นแนวนอนคั่นกลางไว้ถัดลงมาเป็นไฟหน้า LED ดีไซน์เพรียวลงกว่าเดิม แถมออกแบบชุดกันชนหน้าให้เป็นหนึ่งเดียวกับอย่างลงตัว ด้านข้างพร้อมดีไซน์ที่ทันสมัย ที่เปิดประตูแบบซ่อนรูปเนียนกับตัวถังไฟท้าย LED ที่เพรียวลงพอๆกับด้านหน้าและกันชนหลังที่ลงตัวและย้ายชุดป้ายทะเบียนมาไว้ในชุดกันชนหลังเป็นครั้งแรก พร้อมภายในที่อภิมหาจอสัมผัสก็ว่าได้เพราะเขาใจดีให้มาตั้ง 31 นิ้ว แบบ BMW Theater Screen ลอยตัวติดบนหลังคา จอสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display ที่รวมทั้งจอมาตรวัดดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว และจอสัมผัส 14.9 นิ้ว มาอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแบบลอยตัว

    ขุมพลังที่จะมาในเมืองไทยมีทั้ง ดีเซล Mild Hybrid กับ เบนซิน Plug In Hybrid เริ่มที่ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง รหัส B57D30T1 286 แรงม้าที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที พร้อมพลัง MHEV ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟขนาด 48 โวลต์ ช่วยเสริมพละกำลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นอีกถึง 18 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร รวมกัน 300 แรงม้า แรงบิด 670 นิวตันแมตร ความเร็วสูงสุด 250 กม. 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.3 วินาที ในรุ่น 730 Ld หรือ 740 Ld

    BMW

    ส่วนเบนซินเทอร์โบ 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง 310 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 1,750 -4,700 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 200 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร  เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้ารวม 490 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร โดยใช้โหมดไฟฟ้าวิ่งไกลสุด 140 กม. ส่วนแบตวิ่งไกลสุด 80-89 กม. (WLTP) ความเร็วสูงสุด 250 กม. 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.9 วินาที ในรุ่น 750 Le xDrive โดยทั้งสองขนาดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic

    และไฟฟ้าอย่าง BMW i7 มาในแบบ ขับเคลื่อนพลังไฟฟ้าล้วน eDrive ด้วยความจุแบตเตอรี่ 101.7 kWh ให้กำลังมากถึง 544 แรงม้าที่ 5,000-12,000 รอบ/นาที แรงบิด 745 นิวตันเมตรที่ 0-5,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ วิ่งไกลสุด 590-625 กม. (WLTP) ความเร็วสูงสุด 240 กม. 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.7 วินาที การชาร์จเริ่มที่ชาร์จช้าแบบ Wallbox (AC 3 เฟส 11 kW) จาก 10-100% ใช้เวลาน้อยกว่า 9.5 ชม. และชาร์จเร็ว DC 195 kW จาก 10-80% ใช้เวลา 34 นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Two-Stage Single Speed ในรุ่น i7 xDrive60

    BMW

    ในส่วนของรุ่นปรับโฉมหรือ LCI คงได้เห็นทั้ง BMW X7 ที่ปรับหน้าตาใหม่ครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี งานนี้ถูกใจสาวกเป็นแน่แท้ เพราะหล่อออกไปในแนวนตี๋ๆตาตี่ เริ่มที่ กระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่มีไฟเรืองแสงมาให้ชุดกระจังหน้า พร้อมไฟหน้าออกแบบ 2 ชั้น ส่วนบนจะเป็นไฟ LED Daytime พร้อมเส้นแนวนอนคั่นกลางไว้ถัดลงมาเป็นไฟหน้า Matrix LED ดีไซน์เพรียวลงกว่าเดิมในชุดกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ออกแบบช่องระบายอากาศให้ลงตัวด้วยขอบสีเงินรูปตัว U ด้านข้างเพิ่มคิ้วสีเงินลากยาวตั้งแต่บังโคลนซ้าย-ขวายาวไปจนถึงประตู ล้ออัลลอยลายใหม่ 22 นิ้วภายในออกแบบใหม่หมดดีไซน์จอลอยตัวขนาดใหญ่ที่รวมเอาจอมาตรวัดและจอสัมผัสอยู่ในชุดเดียวกัน โดยมาตรวัดดิจิทัลมาขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วและจอสัมผัส 14.9 นิ้ว โดยจอชุดนี้เรียกว่า BMW Curved Display พร้อมระบบปฎิบัติการ BMW Operating System 8 หรือ iDrive 8 ควบคุม รองรับการทำงานการเชื่อมต่อที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น ช่องแอร์ใหม่ดีไซน์เรียวขึ้นในส่วนคอนโซลกลาง รวมถึงปุ่มการใช้งานที่ลดจำนวนลงเพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น ชุดคอนโซลเกียร์งานนี้จะไม่เห็นคันเกียร์อีกต่อไป จะเป็นแบบปุ่มบิดไปมา ดีไซน์คริสตัล ส่วนขุมพลังยังคงเดิมกับ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 6 สูบ 3.0 ลิตร รหัส B57D30T2 ส่งพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้าที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที พร้อมโลดแล่นสู่ความเร็วสูงสุดที่ 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที ในรุ่น X7 xDrive 40d

    BMW

    BMW 3 Series LCI และ BMW i3 Sedan ก็มาด้วยปรับใหม่ตั้งแต่ กระจังหน้าไตคู่ขนาดใหญ่มาพร้อม ไฟหน้า LED ดีไซน์เฉพาะรวมถึงกันชนหน้าทรงปสอร์ต คิ้วรูปตัว L จะผอมเรียวกว่ารวมถึงช่องระบายอากาศที่ใหญ่กว่า ล้ออัลลอยเน้นดีไซน์แอโรไดนามิก ที่ ไฟท้าย LED ใหม่และกันชนหลังดีไซน์คนละแบบโดยแผงทับทิมหลังออกแบบแนวตั้งกลมกลืนกับชุดลิ้นสปอยเลอร์หลัง

    ภายในใหม่ด้วยคอนโซลหน้ามาพร้อมจอคู่แบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant โดยจอโค้งนี้เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลประกอบด้วย จอ Information Display 12.3 นิ้ว และจอสัมผัส Control Display 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ พร้อมระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ BMW Operating System 8 และเกียร์อัตโนมัติดีไซน์ใหม่

    BMW

    พร้อมขุมพลังแรง ดีเซล และเบนซิน Plug In Hybrid จากตระกูล TwinPower Turbo และไฟฟ้าล้วน Gen5 eDrive 285 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร กับความจุแบตเตอรี่ 70.3 kWh สามารถวิ่งไกลสุด 526 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.2 วินาที สามารถรองรับไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 95 kW โดยการชาร์จเร็วใช้เวลา 35 นาที ชาร์จจาก 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนชาร์จช้า รองรับไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW 6 ชั่วโมง

    BYD : BYD Dolphin

    BYD

    ทำตลาดในเมืองไทยมาสักระยะแถมเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายมาหลายหนคราวนี้เอาจริงเมื่อ BYD จีน จับมือกับทางกลุ่มพรประภาเพื่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ BYD ในเมืองไทย พร้อมเข้าโครงการเพื่อรับสิทธิ์ประโยชน์ด้านภาษีและเงินสนับสนุน 1.5 แสนบาทต่อคัน และภาษีสรรพสามิต เหลือ 2 % จากภาครัฐ และรุ่นแรกที่จะทำตลาดนั้่นคือ

    BYD Dolphin (EA1) รถกลุ่ม B-Car ทรงท้ายตัด 5 ประตู สร้างขึ้นจากแพลตฟอร์ม BYD e-platform 3.0  พร้อมภายในที่กว้างสบายแบบ 5 ที่นั่ง พร้อมออพชั่นประจำรถครบครันทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น จอสัมผัสขนาดใหญ่ ขุมพลังไฟฟ้าล้วนประจำรถมีหลากหลายความแรง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ permanent magnet synchronous motor ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นที่มีพลังมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ขนาด 30.7 kWh แบบ BYD Blade Battery(LFP) วิ่งไกลสุด 301 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0-50 กม. ทำได้ 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. ขับเคลื่อนล้อหน้า

    ส่วนอีกรุ่นเพิ่มความจุแบตเป็น 44.9 kWh พลังมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 405 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0-50 กม. ทำได้ 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. ขับเคลื่อนล้อหน้าและรุ่นท็อปสุดความจุแบตเท่ากัน (44.9 kWh) แต่ให้พลังมอเตอร์ไฟฟ้ามากสุด 177 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 401 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) อัตราเร่ง 0-50 กม. ทำได้ 3 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. ขับเคลื่อนล้อหน้า

    ทั้งสามรุ่นสามารถชาร์จได้ทั้งขาร์จช้า AC AC charging (on-board) รองรับสูงสุด7 kW ส่วนชาร์จเร็ว DC fast charging ใช้เวลา 30 นาที ในการชาร์จจาก 30-80% รองรับสูงสุด 60 kW แต่รุ่นเริ่มต้นนั้น รองรับสูงสุด 40 kW แต่ชาร์จเร็วได้ 30 นาทีในการชาร์จจาก 30-80% เบื่องต้น BYD Dolphin พร้อมขายในไทยช่วงปลายปีนี้หวังต่อกรกับ ORA Good Cat และอาจจะมี BYD รุ่นอื่นๆตามมาทั้ง BYD HAN EV, BYD QIN DMi, BYD SONG PLUS DMi และ BYD TANG EV

    Ford : Ford Ranger Raptor x Ford Everest เจนใหม่

    FordFord

    ค่ายวงรีสีน้ำเงินหลังจากเปิดตัวเจนใหม่ทั้ง Ford Ranger Ford Ranger Raptor และ Ford Everest เจนใหม่ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาจนมียอดจองมหาศาลและพึ่งส่งมอบ Ford Ranger เจนใหม่ไปได้ไม่นาน ช่วงครึ่งปีหลัง เตรียมพร้อมที่จะส่งมอบ Ford Everest ช่วงเดือน กรกฎาคม เป็นต้นไป กับ Ford Ranger Raptor เจนใหม่ส่งมอบตั้งแต่สิงหาคมเป็นต้นไป กับขุมพลังที่พัฒนาใหม่ 2.0 ลิตร ทั้งแบบเทอร์โบคู่และเดี่ยว 3.0 V6 เบนซินเทอร์โบในรุ่น Raptor เข้ามาจำหน่าย และลุ้นกันว่า เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 V6 Power Stoke จะเข้ามาทำตลาดในไทยด้วยหรือไม่ต้องติดตาม

    GWM : Haval H6 PHEV/ORA Good Cat GT/TANK

    ORA

    ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปค่ายรถกำแพเมืองจีน พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวและประกาศราคาเจ้าเหมียวจอมซ่าอย่าง ORA Good Cat GT ทั้งชุดแต่งรอบคันสไตล์ GT กับสปอยเลอร์หลัง ล้ออัลลอยลายพิเศษพร้อมคิ้วขอบล้อสีดำและชุดแต่งสเกิร์ตหน้ากับหลัง และขุมพลังไฟฟ้าที่พัฒนาใหม่ Lithium-Ternary (NMC) 59.1 kWh แถมให้กำลังมากถึง 171 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง วิ่งไกลสูงสุด 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.9 วินาที พร้อม Fast Charge แค่ 30 นาที ได้มากถึง 30 – 80% โดยเคาะราคา 29 มิถุนายนนี้

    Haval

    ตามมาติดๆกับ Haval H6 PHEV ที่ปรับหน้าตาคล้าย Peugeot 3008 5008 กับขุมพลัง Turbo 1.5 ลิตร 326 แรงม้า แรงบิด 530 นิวตันเมตร  วิ่งไกลสุด 201 กม. ตามมาตรฐาน NEDC โดยคาดค่าตัวอาจเพิ่มขึ้นจากเดิม 1 แสนบาท รวมถึง TANK เอสยูวีสุดแกร่งฉายา JEEP แดนมังกร กับการเปิดตัวแบรนด์ในไทย โดยรุ่นที่จะประเดิมตลาดอาจเป็น TANK 300 หรือ 500 HEV เอสยูวีพลัง Full Hybrid เข้ามา

    Honda : Honda BR-V & Honda Civic e:HEV

    Honda

    Honda BR-V เอสยูวีเจนใหม่ท้าชน Mitsubishi Xpander กับ Suzuki XL7 (Ertiga) นำเข้าจากอินโดนีเซีย พร้อมขุมพลังยกชุดจากเจนเดิมขนาด 1.5 ลิตร I-VTEC และความสบายเช่นเดิมแบบ 5 กับ 7 ที่นั่ง โดยจะเปิดตัวในช่วงสิงหาคม ทันงาน Big Motor Sale 2022

    Honda

    และไฮไลต์เด็ดที่น่าจับตาคือการเปิดตัวราคาจำหน่ายของ Honda Civic e:HEV ซีดาน Full Hybrid ที่ว่ากันว่าจะเปิดตัวในวันที่ 15 มิถุนายน กับออพชั่นที่ขาดๆเกินๆจากเวอร์ชั่น VTEC Turbo จะมาใส่ในรุ่นนี้แบบจัดเต็มพร้อมพลัง e:HEV 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิด 175 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบ/นาที ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังรวม 184 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 315 นิวตันเมตรที่ 0-2,000 รอบ/นาที และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ​ 72-cell พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ โหมด EV Drive Mode โหมด Hybrid Drive Mode และโหมด Engine Drive Mode พร้อมการขับขี่ที่เลือกได้ตามสไตล์ 3 โหมด ได้แก่ ECON Mode Normal Mode และSport Mode ตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้นเพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจเปิดราคาจำหน่ายแล้วเริ่มที่ 1,129,000 และ 1,259,000 บาท

    Hyundai : Hyundai IONIQ 5

    ็ัีืHyundai

    อีกหนึ่งค่ายที่ความเคลื่อนไหวไม่ค่อยจะโดดเด่นร่หลังเปิดตัว Hyundai Creta และ Hyundai Staria Premium กับการทำตลาดรถไฟฟ้าของ Hyundai IONIQ 5 โดยข่าวล่าสุดนั้นเปิดรับจองตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา งานนี้ต้องดูแล้วว่าจะเปิดตัวและเปิดราคาภายในปีนี้ทันหรือไม่

    ISUZU : ISUZU D-MAX 2023/ ISUZU MU-X 2023/ ISUZU ELF Facelift

    ISUZU

    ค่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อันดับ 1 ของไทยประสบความสำเร็จกับแคมเปญ ISUZU V-Cross 4×4 Master Of All Roads รวมถึงการแนะนำเงียบๆกับรุ่นพิเศษตระกูล SMART รวมถึงรถบรรทุกปรับโฉมหล่อ Facelift ในตระกูล King of Trucks ไปแล้วในช่วงปลายปีนี้ อาจได้พบรถใหม่ประจำปีนั่นก็คือ การปรับปรุงทั้ง ISUZU D-MAX และ ISUZU MU-X ว่าปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือจะเป็นรุ่นพิเศษเสริมทางเลือกต้องคอยชม และอีกหนึ่งรุ่นก็คือการปรับโฉมของหกล้อยอดนิยมอย่าง ISUZU ELF เรียกว่า 65 ปีของ ISUZU ในเมืองไทยสร้างสีสันให้เหล่าประชาคมอีซูซุได้เป็นเจ้าของยนตกรรมคุณภาพอีกเช่นเคย

    KIA : KIA Carnival Import From Malaysia

    หลังจากที่เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียเปิดตัวบริษัทร่วมทุนประกอบรถผลิตขายในประเทศและส่งไปยังกลุ่มอาเซี่ยน 9 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย งานนี้ถ้ามีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโรงงานมาเลเซียและความชัดเจนของการส่งออกมายังไทย อาจได้เห็น KIA Carnival นำเข้ามาขายในราคาที่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท รวมถึงรุ่นอื่นๆในไลน์ผลิตจากมาเลย์ อย่าง KIA Sorento, Sportage อาจจะเข้ามาเสริมทัพ ด้วยขุมพลังลูกผสม Full Hybrid สันดาปล้วนๆ หรือ เสียบปลั๊ก Plug In Hybrid ส่วน EV6 จะเข้ามาไหมต้องติดตาม

    Land Rover : The All New Range Rover Sport

    range Rover

    ค่ายรถยนต์จากเมืองผู้ดีที่ประเดิมเปิดตัวไปแล้วกับ Range Rover เจนใหม่ รวมถึงการมาแบบเงียบๆของ Land Rover Defender V8 ในราคา 16 ล้านบาท ปีนี้เสริมทางเลือกกับลูกค้าอัครเศรษฐีหัวใจซิ่งอย่าง The All New Range Rover Sport ที่นำพื้นฐานของพี่ใหญ่ Range Rover เจนใหม่มาปรับตัวถังและตัวตนให้ออกแนวสปอร์ตขึ้นกับกระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ในขนาดที่เล็กลงพร้อมปักชื่อ Range Rover ขอบฝากระโปรงหน้า ไฟหน้า LED คุณภาพสูง แบบ Matrix-Laser พร้อมไฟ LED DRL รูปตัว J ในโคมเดียวกัน รับกับกันชนหน้าดีไซน์เท่ ที่เปิดประตูซ่อนรูปกลมกลืนกับตัวถัง พร้อมหลังคารถที่ลาดลง และช่องระบายอากาศทรงเท่ติดข้างบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา ด้านท้ายต่างจากพี่ใหญ่ตรงที่ ไฟท้าย LED มาในแบบแนวนอน พร้อมตัวอักษร Range Rover สีดำ กันชนหลังสีทูโทนกับลิ้นสปอยเลอร์สีดำและท่อไอเสียเดี่ยวสองฝั่งติดกรอบโครเมี่ยม และเสาอากาศครีบฉลามคู่ สร้างจากแพลตฟอร์ม MLA-Flex architecture แบบเดียวกับพี่ใหญ่ Range Rover สำหรับขุมพลังในไทยอาจใช้ร่วมกับพี่ใหญ่ ด้วย เบนซินเทอร์โบ PHEV-Plug In Hybrid ที่มีมาสองขนาดเริ่มที่รุ่น P440e 3.0 ลิตร 440 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 620 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที พร้อมความจุแบต 38.2 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 114 กม. ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 140 กม./ชม. และ P510e 3.0 ลิตร 510 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที พร้อมความจุแบต 38.2 kWh มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 113 กม. ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 150 กม./ชม. ทั้งสองรุ่นสามารถชาร์จที่บ้าน Wallbox AC ชาร์จช้า 0-100% ชาร์จได้ 5 ชม. ชาร์จเร็ว DC รองรับสูงสุด 50 kW 0-80% ในเวลา 40 นาที โดยที่ปล่อยก๊าซ CO2 โดยรวมต่ำกว่า 30 กรัมต่อกิโลเมตร

    ดีเซลเทอร์โบ MHEV-Mild Hybrid รุ่น D350 ขนาด 3.0 ลิตร 350 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,000 รอบ/นาทีมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟขนาดเล็ก 48 V รองรับแรงบิดมากถึง 1,400 นิวตันเมตร ช่วยเสริมพละกำลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ และแรงกระชากวิญญาณด้วยเบนซินเทอร์โบ P530 4.4 ลิตร V8 530 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-4,600 รอบ/นาที ที่หยิบยืมมาจากค่าย BMW

    range

    ทุกขนาดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ iAWD ควบคุมโดยระบบ Intelligent Driveline Dynamics (IDD) ของแลนด์โรเวอร์ ซึ่งทำงานตรวจสอบระดับการยึดเกาะและการสั่งการของผู้ขับขี่ 100 ครั้งต่อวินาที เพื่อคาดการณ์กระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังและกระจายไปทั่ว เพลาหลัง เพื่อแรงยึดเกาะที่ดีที่สุดทั้งบนทางราบเรียบและทางขรุขระ พร้อม Terrain Response 2 ที่มีโหมดออฟโรดถึง 6 โหมด เข้าไทยแน่นอนแต่อาจจะเป็นปลายปีนี้ทันงาน Motor Expo หรือไม่ต้องติดตาม

    Lotus : Lotus Emira/ Lotus Eletre

    Lotus

    พึ่งจะเปิดตัวรถสปอร์ต Lotus Emira  รุ่น First Edition V6 โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน V6 จาก Toyota ในรหัส 2GR-FE 3.5 ลิตร พร้อมดีไซที่เด่นสะดุดตา และน้ำหนักเบา งานนี้สาวกที่ชอบรถอังกฤษ เตรียมรับอีกคันได้เลยกับการเปิดรับจอง Lotus Eletre เอสยูวีไฟฟ้าออกแบบที่สปอร์ตหลังคาเพรียวลงสไตล์รถคูเป้ ไฟหน้า LED ทรงบูมเมอแรง พร้อมไฟท้าย LED ดีไซน์โค้งมน กระจกมองข้างขนาดเล็กสามารถดูได้จากกล้องมองภาพในรถ โดยรวมแล้วดูดุดันเท่ไม่แพ้ค่ายรถอื่นๆ รวมถึงล้อดีไซน์ล้ำอนาคตขนาด 23 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟบานใหญ่ก็มีให้ด้วยเช่นกัน ตัวถังรถทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียม

    Lotus

    ห้กำลังมากถึง 600 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 2.95 วินาที ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Dual Motor AWD และความจุแบตเตอรี่ 100 kWh วิ่งไกลสุด 600 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. โดยการชาร์จไฟด้วยกำลังไฟ 350 KW ในเวลาสั้นๆเพียง 20 นาที สามารถวิ่งไกลสุดได้ 400 กม. พร้อมเทคโนโลยีไฟฟ้าแรงดันสูง 800V พร้อมช่วงล่างแบบถุงลมที่สามารถปรับระดับความสูงตัวรถได้อัตโนมัติแถมมีเลี้ยวสี่ล้อ โดยส่งมอบชาวไทยตั้งแต่ปี 2024 จับตาแล้วว่าปลายปีนี้จะมาโชว์ดักคอเรียกน้ำย่อยเศรษฐีเงินหนาหรือไม่ต้องติดตาม

    Mercedes-Benz : Mercedes-Benz C-Class Plug-In Hybrid , EQS From Mercedes-EQ CKD

    Mercedes-BenzEQS

    เมื่อช่วงต้นปีได้เปิดตัว Mercedes-Benz C-Class เจนใหม่ไปในรูปแบบเครื่องยนต์ดีเซลคราวนี้ถึงคิวรุ่น Plug In Hybrid กันบ้างกับรหัสใหม่ M254 2.0 ลิตร 200 แรงม้า ให้แรงบิดสูง 320 นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 129 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอร์รี่ใหม่ขนาด 25.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จไฟได้เต็ม ใน 30 นาที ด้วย DC Charger สูงสุด 55 KW และมี AC Charger 11 KW ในโหมดไฟฟ้าล้วนสามารถวิ่งไกลสุด 100 กม. และทำความเร็วได้สูงสุด 140 ก.ม./ช.ม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC ขับเคลื่อนล้อหลัง ในรุ่น C300 e พร้อมกับ EQS From Mercedes-EQ เก๋งไฟฟ้าที่ขายเวอร์ชั่นนำเข้าขัตตาทัพ พร้อมราคาในช่วง 8 ล้านกลาง มาลุ้นกันต่อว่าเวอร์ชั่นประกอบไทย ที่อาจมีเวอร์ชั่นที่แรงกว่าและออพชั่นมากกว่ารุ่น EQS 450+ นั้นจะมาทันปลายปีนี้ไหม ส่วนรุ่นอื่นๆจากแบรนด์ Mercedes-Benz Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG อาจมีรุ่นปรับปรุงใหม่ เพิ่มรุ่น ตามรอบการทำตลาดซึ่งจะเป็นรุ่นไหนนั้นทางต้นสังกัดจะแจ้งให้ทราบอีกที

    Mitsubishi : Mitsubishi Xpander Cross Facelift

    Mitsubishi

    ปีนี้  Mitsubishi Xpander พึ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ในเวอร์ชั่นปกติและปรับปรุงใหม่ในเวอร์ชั่นยกสูง Xpander Cross ไป แต่อยู่ดีๆมีภาพหลุดรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ของเวอร์ชั่น Xpander Cross ไปและมีโอกาสว่าจะเปิดตัวในไทยไม่นานเกินรอ แต่จะมาช่วงปลายปีหรือไม่ต้องติดตามกัน

    NETA : NETA V

    NETA

    หลังจากเปิดตัวให้ชาวไทยได้รู้จักกับรถยนต์ไฟฟ้าจากเมืองจีนน้องใหม่ภายใต้ชื่อ NETA พร้อมแนะนำ NETA V ที่มีความโดดเด่นคล่องตัวด้วยตัวรถยาว 4 เมตรต้นๆ พร้อมพลังไฟฟ้าด้วยความจุแบตเตอรี่ Ternary Lithium Battery 38.54 kWh ให้กำลังมากถึง 95 แรงม้า แรงบิด 160 นิวตันเมตร โดยวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 380 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ความเร็วสูงสุด 100-130 กม./ชม.ขึ้นกับโหมดการใช้งาน (ความเร็วสูงสุดตามข้อมูลโรงงาน 101 กม./ชม.) พร้อมการชาร์จปกติแบบ AC 0-100% ได้ 8 ชั่วโมงและชาร์จเร็ว DC 30-80% ได้ประมาณ 30 นาที และอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ทำได้ 3.9 วินาที โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในราคาที่อาจเข้าร่วมโครงการของรัฐในราคาถูก พร้อมเครือข่ายดีลเลอร์ทั่วประเทศ

    Nissan : Nissan Kicks e-Power Facelift/ Nissan LEAF Facelift/ Nissan Ariya

    ์Nissan

    หลังจากแนะนำ Nissan Navara MY2022 แถมเป็นการกลับมาของยกสูงแต่งดำอย่าง Black Edition เดือนหน้าเตรียมพบกับการปรับโฉมของ Nissan Kicks e-Power ปรับหน้าตาเล็กน้อยบนบอดี้เดิมเพิ่มเติมที่ไฟท้าย LED ทรงบูมเมอแรงพร้อมแถบไฟท้ายคาดยาวครอบทับฝาท้ายและไฟท้ายอย่างลงตัวพร้อมโลโก้ใหม่ติดด้านท้ายและด้านหน้า พร้อมหน้าจอสี TFT 7 นิ้ว ที่งานนี้มาตรวัดความเร็วเขียนถึง 220 กม./ชม. เครื่องเสียงแบบจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว Nissan Connect ลำโพง 6 ตำแหน่ง รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และอาจเชื่อมต่อ Android Auto ได้ พวงมาลัยสปอร์ตแบบมัลติฟังก์ชัน ทรง D-Shape กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Intelligent Key  ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button และความสบายจากเบาะนั่ง 5 ที่นั่ง หุ้มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้ตอน 2 สามารถพับได้แบบ 40/60 เบรกมือไฟฟ้า Electric Parking Brake และหยุดรถอัตโนมัติ Auto Brake Hold และดีไซน์เกียร์อัตโนมัติใหม่ให้ใช้งานง่ายขึ้น

    พร้อมพัฒนาขุมพลังใหม่ HR12 DE 1.2 จับคู่กับชุดแบตเตอร์รี่ Lithium-ion ขนาด 2.06 kWh พ่วงเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส EM47 ให้พลังรวมมากขึ้นเป็น 136 แรงม้าที่ 3,183-8,500 รอบ/นาที เพิ่มแรงบิดเป็น 300 นิวตันเมตรที่ 0-3,183 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed Gear Reduction พร้อมโหมดการขับ Normal, S, Eco, และ EV และยังพัฒนา One-Pedal คันเร่งอัจฉริยะเวอร์ชั่นใหม่ให้มีความฉลาดและฉับไวในการใช้งานมากขึ้น โดยเปิดตัววันที่ 1 กรกฏาคม นี้

    Nissan

    ส่วนใครที่ชอบ Nissan LEAF บอกได้เลยว่ามาแน่จากข้อมูลของเพจ ฐานยานยนต์ว่าทางประธาน Nissan Motor ประเทศไทย มีแผนนำเข้า Nissan LEAF Facelift เน้นความสปอร์ตตั้งแต่กระจังหน้า V-Motion สีดำเข้มพร้อมโลโก้ Nissan ใหม่ แทนแบบเดิมที่เป็นโครเมี่ยม ล้ออัลลอยลายใหม่สีเข้มขอบเงินห้าก้านขนาดใหญ่ทั้งขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/55R16 และขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/50R17 ด้านท้ายออกแบบใหม่พร้อมโลโก้ Nissan ใหม่

    Nissan

    และขุมพลังพัฒนาใหม่ด้วยความจุแบตเตอรี่ Li-ion battery ขนาด 60 kWh 218 แรงม้าที่ 4,600-5,800 รอบ/นาที แรงบิด 340 นิวตันเมตรที่ 500-4,000 รอบ/นาที สามารถวิ่งไกลสุด 550 กม./ การชาร์จ 1 ครั้ง (JC08) และ 450 กม. (WLTC)  และเพิ่มกำลังในการชาร์จมากถึง 100 kW  ในรุ่น 60kWh จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ  โดยรุ่นปัจจุบันขายให้หมดก่อนแล้วจึงนำเข้ามาใหม่ ส่วน Nissan Ariya มาไทยแน่นอนแต่ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาความเป็นไปได้ และที่ลุ้นอยากให้มานั่นคือ Nissan Z  สปอร์ตคาร์เจเนอเรชั่นที่ 7 พลังเทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร V6  VR30DDTT  405แรงม้า แรงบิด 475 นิวตันเมตร

    ที่มาจาก ฐานยานยนต์

    Peugeot : Peugeot e-2008

    หลังจากเปิดตัวเอสยูวีเล็ก Peugeot 2008 ได้ไม่นานก็ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากสาวกสิงห์เขย่งขา แต่ถ้าหากว่ามาเลเซียขายรุ่นไหนเมืองไทยก็มีสิทธิ์เช่นกัน โดยเตรียมที่จะนำรุ่น Peugeot e-2008 เข้ามาพื้นฐานนั้นคล้ายรุ่น 2008 พร้อมพลังไฟฟาล้วนกับเบตเตอรี่ขนาด 50 kWh 136 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร ทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลราว 310กิโลเมตร ตามมาตรฐานของ WLTP รองรับการชาร์จเร็ว 100 kW สามารถชาร์จแบตจาก 0 – 80% ในเวลา 30 นาที โดยทางมาเลเซียจะขายช่วงไตรมาสสี่ของปีนี้ จับตาถ้าประกอบที่มาเลเซียเท่ากับว่าไทยจะได้พบกันจะปลายปีนี้หรือไม่ต้องดูกัน

    Subaru : Subaru WRX Series New Gen

    Subaru

    Subaru WRX Series ทั้งรุ่น Sedan และ Wagon (Subaru Levorg) ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าจับตาว่าจะเข้าไทยทันภายในปีนี้ไหม หล่อทั้งคันตั้งแต่ กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมรับกับชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ตพร้อมชุดไฟหน้า LED ทั้งไฟหน้าและไฟตัดหมอก LED ชุดไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED horizontal ก็มาด้วย สคุ๊พดักลมแบบบิ๊วอินบนฝากระโปรงหน้าตอบรับความโหดแบบเต็มพิกัด ล้ออัลลอยมีให้เลือกทั้งขนาด 17 นิ้ว และขนาด 18 นิ้ว ท่อไอเสียเดียว 2 ฝั่งซ้าย-ขวา ก็มีมาให้ บนพื้นฐานแพลตฟอร์มใหม่ Subaru Global Platform จากรุ่น Impreza ที่ใหญ่ขึ้น กับพลัง Boxer 1.8 ให้กำลังสูงถึง 177 แรงม้าที่ แรงบิด 300 นิวตันเมตร และเบนซินเทอร์โบ Boxer 2.4 ลิตร 275 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT Subaru Performance Transmission ในรุ่น 2.4 Tและ Lineartronic CVT ในรุ่น 1.8 T ตอบสนองเร็วขึ้นกว่าเกียร์ลูกเดิม จับคู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเลื่องชื่ออย่าง Symmetrical All-Wheel Drive พร้อมระบบ Active Torque Vectoring ช่วยให้ออกโค้งเข้าโค้งได้อย่างรวดเร็ว มั่นใจ และระบบความปลอภัยขั้นเทพ Subaru Eye Sight

    Toyota : Toyota VIOS (YARIS)/Toyota GR 86

    Toyota

    ปีนี้ Toyota ครบรอบ 60 ปี ในการดำเนินธุรกิจในไทยที่ช่วงครึ่งปีแรกเปิดตัวรุ่นใหม่ทั้งโมเดลใหม่ รุ่นปัจจุบันปรับปรุงใหม่และปรับโฉม ไม่ว่าจะเป็น Toyota VELOZ ตระกูล GR Sport อย่าง Toyota C-HR Hybrid Toyota Sienta MY2022 และรุ่นพิเศษ 60 ปี ที่จำนวนจำกัด 6,000 คัน ในส่วนครึ่งปีหลังนี้ เตรียมพบกับ Toyota VIOS หรือ Toyota YARIS ซีดานเจเนอเรชั่นที่ 5 ที่พัฒนาร่วมกันทั้ง Daihatsu และ Toyota ภายใต้โครงการ D92A บนแพลตฟอร์ม DNGA platform

    ขุมพลังในสเปคไทยลือกันว่ามีทั้ง เบนซินปกติ และ Hybrid โดยมีความเป็นไปได้สูงว่ายังใช้ของเก่ากับเบนซิน Dual VVT-IE 3NR-FKE 1.2 ลิตร 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 109 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i  ส่วน Hybrid อาจได้เครื่องใหม่ Dynamic Force Hybrid M15A-FXE 1.5 ลิตร 91 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 120 นิวตันเมตรที่ 3,800-4,800 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Toyota Hybrid System II (THS II) แบบ 1NM 80 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตันเมตร สำหรับล้อหน้าและ 1MM 5.3 แรงม้า แรงบิด 52 นิวตันเมตรสำหรับล้อหลังโดยเมื่อทำงานร่วมกันจะให้กำลังรวมถึง 116 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT โดยการเปิดตัวอาจอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม นี้

    และอีกรุ่นที่กับ Toyota GR 86 ที่กลายมาเป็นรถรางวัลสำหรับคนที่ซิ้อรถรุ่นพิเศษ 60 ปี แถมยังบอกราคาจำหน่ายออกมาเท่ากับว่าพร้อมที่จะทำตลาดในเมืองไทยด้วยพลังขับหลังเครื่องสูบนอน 235 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ในราคา 2,949,000 บาท

    Volvo : Volvo S60/V60 Recharge Facelift

    Volvo

    มาคิวของค่ายรถยุโรปหรูจากแดนไวกิ้งที่พึ่งแนะนำตัว Volvo C40 Recharge Pure Electric กับ Volvo XC40 Recharge Pure Electric รุ่นปรับโฉมไป ล่าสุดที่ต่างประเทศได้ปรับโฉมครั้งแรกของ Volvo S60/V60 Recharge Facelift ที่ดูๆไปก็เหมือนเดิมไม่ปรับอะไรมากแต่สิ่งที่เปลี่ยนก็คือลิ้นสปอยเลอร์กันชนหลังออกแบบใหม่ และการตกแต่งภายในใหม่บนพื้นฐานความแรงเดิมกับ Recharge T8 Plug In Hybrid เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 146 แรงม้าพร้อมพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความจุใหม่ถึง 14.9 kWh โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้ามากถึง 75-94 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง และความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. โดยให้แรงม้ารวมถึง 392 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร โดยอาจมาพร้อมกันกับ BMW 3 Series LCI ก็เป็นได้

     

     

     

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts