More

    Ford Everest Sport พีพีวีหรูขับสองทางเลือกใหม่ที่แดนจิงโจ้

    หลังทำตลาดที่ออสเตรเลียมาได้สักพักจนมียอดขายดีไม่แพ้เมืองไทยสำหรับ Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ที่มีตัวเลือกครบครัน

    Ford

    ทั้งขุมพลังเทอร์โบคู่ 2 ลิตร และ V6 3.0 โดยล่าสุดแนะนำรุ่นปรับปรุงใหม่ หรือ MY2023.5 สำหรับ Ford Everest เพิ่มรุ่น Sport Bi-Turbo 4×2 ที่หน้าตาคล้ายรุ่น Sport V6 4×4 และ Sport 4×2 สเปกไทยตั้งแต่ไฟหน้า LED รูปตัว C  ลายเส้นอันทรงพลังบนกระจังหน้า ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ ล้ออัลลอยลายเข้ม 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/55 R20 ราวหลังคาออกแบบ Built-In กลมกลืนลงตัวกับตัวรถ โลโก้ Everest สีดำ พร้อมชุดแต่งสีดำทั้งชิ้นตั้งแต่กระจกมองข้าง ที่เปิดประตู ราวหลังคา ล้ออัลลอย คิ้วระบายอากาศที่บังโคลนหน้าซ้าย-ขวา คิ้วด้านท้าย โดดเด่นเป็นสง่า ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าร้อมชุดเซนเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้าเตะได้ Kick Activated และระบบป้องกันการหนีบ

    Ford

    ภายในเหมือนกันกับรุ่น Sport V6 4×4 และ Sport 4×2 สเปกไทย ติดตั้งแผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ คอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า ระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติ Electronic Shifter หุ้มด้วยหนัง พร้อมเบรกมือไฟฟ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง สามารถปรับอุณหภูมิและระบายอากาศได้ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง รองรับการจดจำการตั้งค่าส่วนตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พร้อมปักชื่อ Sport ที่เบาะคู่หน้า เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งทำให้รถจุผู้โดยสารได้ 7 คน แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับได้แบบไฟฟ้า ที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ ได้อย่างปลอดภัยนอกจากนี้ ผู้โดยสารทุกคนยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระ

    ยกระดับอุปกรณ์เชื่อมต่อการสื่อสารและเทคโนโลยีอันทันสมัย ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว หน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 12 นิ้ว มาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อการสื่อสาร ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ พร้อมลำโพง 10 จุด หน้าจอทัชสกรีนแนวตั้ง หน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ หรือช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการเดินทางบนสภาพเส้นทางที่มีความสมบุกสมบัน ช่องต่อไฟ 12V (12V Power Sockets) และ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จมือถือ โน้ตบุ๊คได้ มีสวิตช์ควบคุมการทำงานของแอร์หลังได้ พร้อมแอปพลิเคชัน FordPass™ ช่วยให้ลูกค้านัดเข้ารับบริการผ่านช่องทางออนไลน์สั่ง สตาร์ทรถผ่านทางแอปฯ ได้ สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อก และปลดล็อกผ่านโทรศัพท์มือถือ

    Ford

    Ford Everest Sport Bi-Turbo 4×2 มาพร้อมพลังดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ Bi-Turbo รหัส YN2Q 2.0 ลิตร 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2000 รอบ/นาทีจับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter 10 สปีด E-Shifter 10R80 พร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System ทั้งโหมด Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery

    จากเดิมรุ่น Sport V6 4×4 จะมีดีเซลเทอร์โบเดี่ยวในตระกูล Lion รหัส DSL-Lion B 3.0 ลิตร Power Stroke ที่ให้กำลังมากถึง 250 แรงม้าที่ 3,250 รอบ/นาที แรงบิด 597 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่น 10R80 e-Shifter พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L และ 4A) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case – EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System ทั้งโหมด Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery และยามลุยมีทั้งโหมด Sand, Mud/Ruts พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ทั้งคู่ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร และมีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กิโลกรัม

    Ford

    มั่นใจด้วยเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีช่วยการขับขี่และความปลอดภัยที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เริ่มต้นจากถุงลมนิรภัย 9 จุด ติดตั้งระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า ถุงลมนิรภัยคู่ด้านหน้าป้องกันเข่าและขา ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้างระดับหน้าอกทั้ง 2 ฟาก และม่านถุงลมนิรภัยคู่ด้านข้างครอบคลุมถึงที่นั่ง 3 แถว พร้อมระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist 2.0 ช่วยให้ผู้ขับขี่จอดรถในพื้นที่แคบได้อย่างปลอดภัยเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส พร้อมระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Intelligent Adaptive Cruise Control (iACC) with Lane Centringช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางผสานระบบตรวจจับขอบถนน (Lane-keeping system with road-edge detection) ช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive steer assist) ช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Reverse brake assist)ตรวจจับรถในจุดบอดครอบคลุมส่วนต่อพ่วง (Blind spot information system with trailer coverage) ป้องกันการชนเพื่อป้องกันการชนบริเวณทางแยก (Pre-collision assist with intersection functionality)

    ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam Headlamps, กล้องมองหลัง Camera,ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection, เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support, ช่วยควบคุมรถหลังจากชน Post-Impact Braking, ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning ,ตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking, ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist และช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist

    พร้อมความปลอดภัยพื้นฐาน ทั้ง ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง,ป้องกันล้อล็อก ABS และกระจายแรงเบรก EBD, ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA, ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM ควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC ในรุ่น 4X4 และสัญญาณกะระยะการจอดให้มาหน้า-หลังแค่ 6 จุด

     

    Ford

     

    Ford Everest MY 2023.5 มีตั้งแต่รุ่น Ambiente 5 Seat 4×2 4×4, Trend 4×2 4×4, Sport V6 4×4 และ Platinum V6 4×4 ในราคาเริ่มต้น $53,290 -$77,530 หรือราว 1,299,000-1,889,000 บาท และล่าสุดกับรุ่นใหม่ Sport Bi-Turbo 4×2 กับราคาเริ่มต้น $62,790 หรือราว 1,529,000 บาท ราคาทั้งหมดไม่รวมค่า on-road ของออสเตรเลีย โดยรุ่นท็อปสุด Platinum V6 4×4 เพิ่มมาอีกสองรายการคือแผ่นเหล็กกันกระแทกใต้ท้องรถและแร็คหลังคาแบบมีช่องผูกเชือกทาด้วยสีดำ

    ที่มา Drive

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts