More

    Lexus RX 2023 เอสยูวีหรูเหนือขีดจำกัดแห่งจินตนาการ

    กว่า 20 ปี ที่ Lexus RX เอสยูวีหรูรุ่นบุกเบิกของค่ายนำพาความสำเร็จความนิยมของสาวกที่ชื่นชอบด้วยตัวตนที่ชัดเจนและเทคโนโลยีที่โดดเด่น

    Lexus

    การันตีถึงความนิยมใน 90 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดจำหน่ายสะสมที่มากกว่า 3.5 ล้านคัน ล่าสุดได้เดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 5 แล้ว และเมืองไทยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2022 โดยเปิดตัวตามหลังอเมริกาและญี่ปุ่นได้ไม่นานด้วยความหล่อคล้ายๆกับน้องคนรองอย่าง Lexus NX ตั้งแต่ไฟหน้าไฟหน้า LED แบบ Projector ดีไซน์เรียบหรู พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential Turning พร้อมไฟ DRL แบบ “Nike-swoosh” รูปตัว L ที่แยกจากกัน ประกบกับกระจังหน้า Spindle Gril ดีไซน์เอกลักษณ์ รวมถึงช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ในชุดกันชนหน้า ล้ออัลลอยขนาดใหญ่เลือกได้หลายลายหลายขนาดตั้งแต่ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/60R19 ในรุ่น Luxury และ 21 นิ้วพร้อมยาง 235/50R21 ในรุ่น Premium  ไฟท้าย LED แบบลากยาวตลอด พร้อมโลโก้ตัวอักษร Lexus แทนโลโก้ทรงกลมประดับไว้โชว์ความหรู กับกันชนหลังทรงเท่พร้อมช่องระบายอากาศ

    ตัวรถสร้างจากพื้นฐาน TNGA-K มีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่ความยาว 4,890 มม. ความกว้าง 1,920 มม. ความสูง 1,695 มม.  ฐานล้อ 2,850 มม. น้ำหนักรถ 2,220 กก. และความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร เมื่อเทียบกับ Lexus RX เจนที่แล้วจะพบว่า ความกว้างเพิ่มขึ้น 25 มม. ฐานล้อยาวขึ้น 60 มม. ความสูงลดลง 10 มม. แต่ความยาวเท่าเดิม

    Lexus

    ภายในหรูหราด้วยชุดหนังคุณภาพตกแต่งทั้งเบาะคอนโซลหน้าแผงประตูที่มีส่วนของผิวสัมผัส ที่เปิดประตูภายในดีไซน์แบบกดปุ่ม เบาะนั่งหนังแท้คุณภาพปรับไฟฟ้า จอสัมผัสขนาดใหญ่  14 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple Car Play แบบไร้สาย สั่งการฟังก์ชันได้หลากหลายเพียงใช้สวิตช์ในจอ และใช้งานได้อย่างสะดวก เป็นธรรมชาติ ด้วยการออกแบบที่ละเอียดรอบคอบ ทั้งขนาด องศาของจอ ตำแหน่งการติดตั้ง รูปแบบการแสดงผล และความถี่ในการเรียกใช้ฟังก์ชันต่างๆ มาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่แบบ LCD  9.8 นิ้ว หน้าจอแสดงผล TFT รูปแบบข้อมูลในจอจัดวางให้อ่านง่าย ชัดเจน รวดเร็ว ผู้ขับจึงดูข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการขับขี่ได้อย่างง่ายดาย แม้ขณะขับรถ อาทิ เส้นทางการนำทาง สถานะระบบช่วยขับขี่ กำหนดเวลาถึงที่หมาย และระยะทางการขับขี่

    พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านที่สวยมาพร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัสมีเซนเซอร์จับตำแหน่งของนิ้วมือ ซึ่งจะระบุได้ว่าผู้ขับวางนิ้วมืออยู่บนปุ่มใด และแสดงแผนผังของปุ่ม และตำแหน่งนิ้วมือบนหน้าจอ Head-up Display เพื่อให้ผู้ขับเลือกกดปุ่มต่างๆ ได้โดยไม่ต้องก้มมองพวงมาลัย Head-up Display แสดงผลโดยฉายข้อมูลไปยังบริเวณด้านล่างของกระจกหน้ารถ เน้นแสดงข้อมูลสำคัญในการขับขี่ให้อยู่ตรงกับมุมมองของผู้ขับขณะขับรถได้อย่างพอดี โดยไม่รบกวนการมองถนน และสภาพรอบรถ พร้อมเลือกโหมดการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ และเบาะนั่งหนังแท้สไตล์ปอร์ต หลังคาพาโนรามิกขนาดใหญ่ ไฟส่องภายในแบบ multi-colored illumination มีทั้งหมด 64 สี ที่จับคันเกียร์ดีไซน์เล็กลงขึ้น minimalist shifter wireless Charger ที่สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนได้แบบไร้สาย และกุญแจรูปแบบใหม่ที่สั่งการด้วยสมาร์ทโฟน digital key

    ที่เก็บสัมภาระท้ายรถ กรอบประตูท้ายรถ มีความเพรียวบาง และมีขอบล่างที่อยู่ต่ำ คุณจึงใช้พื้นที่ภายในรถได้อย่างสะดวกสบาย ขนสัมภาระขึ้น และลงจากท้ายรถได้ง่ายดายพร้อมติดตั้งไฟ LED ทั้งหมด 3 ดวงที่ผนังซ้าย-ขวา ของห้องเก็บสัมภาระ และด้านในของฝาท้าย โดยกำหนดตำแหน่งให้พอเหมาะเพื่อให้เห็นชัดเจนและดูสวยงาม

    Lexus

    สำหรับเมืองไทยมาจำหน่ายรุ่นเดียวคือ Lexus RX450h+ AWD Plug-in hybrid กับพลังเสียบปลั๊ก เบนซิน Dynamic Force PHEV ขนาด 2.5 ลิตร รหัส A25A-FXS และ ให้กำลังถึง 182 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 227 นิวตันเมตร ที่ 3,200-3,700 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังมากถึง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร สำหรับล้อหน้า และล้อหลังให้กำลัง 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร และความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 18.1 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้ารวม 304 แรงม้า

    Lexus

    วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า EV ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 85 กม. ตามมาตรฐาน NEDC โดยชาร์จกระแสสลับ AC แบบ Type 2 รองรับกำลังการชาร์จสูงสุด 6.6 kW ใช้เวลาเพียง 2.30 ชม. จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อม Sequential Shift พร้อมโหมดการขับขี่ถึงสี่โหมดได้แก่ EV,EV/HEV,HEV และขาร์จแบตเตอรี่ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ e-Four มอเตอร์ไฟฟ้าแบบติดตั้งด้านหลังด้วยกำลังขับจากมอเตอร์กำลังสูง ใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง โดยเฉพาะขณะออกตัว และเร่งความเร็ว กับเซนเซอร์ประเมินสภาวะการขับขี่ และจ่ายกำลังไปแต่ละล้ออย่างเหมาะสม กระจายแรงบิดระหว่างล้อด้านหน้าและหลังที่ 100 : 0 ถึง 20 : 80

    พร้อมระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ ช่วยส่งแรงขับไปยังพื้นถนนได้เต็มกำลัง พร้อมเพิ่มความนุ่มนวลขณะขับขี่ องศาของโช้ค และชนิดของยางหุ้มโช้คต่างๆ ปรับเปลี่ยนเพื่อลดอาการย้อยขณะเร่งความเร็ว ลดความเร็ว และเข้าโค้ง รวมทั้งลดแรงสั่นสะเทือนขณะใช้ความเร็วสูง โช้คอัพแบบสวิงวาล์ว พร้อมระบบ AVS (Adaptive Variable Suspension) แบบโซลีนอยด์  ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีตั้งแต่เริ่มออกตัวไปจนถึงย่านความเร็วสูง ล้อทั้งสี่ยึดเข้ากับเพลาขับด้วยวิธี Hub Bolt ที่แข็งแกร่ง เพิ่มความมั่นคงพร้อมลดน้ำหนักใต้สปริง ควบคุมรถง่าย ตอบสนองเฉียบคม

    การเก็บเสียงที่เงียบขึ้นผ่อนคลายเป็นธรรมชาติในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นถนน หรือสภาพแวดล้อม เป็นผลมาจากการเลือกใช้ยางขอบประตูและขอบกระจกที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เกิดเสียงรบกวนจากพื้นถนนได้ง่าย อย่างประตู และหลังคา วิศวกรเลือกเดินขอบด้วยยางแมสติกที่ดูดซุบแรงสั่นสะเทือนได้ดี รวมทั้งเลือกใช้กระจกประตูคู่หน้าแบบกันเสียง และลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ ด้วยการยึดฝากระโปรงหน้าด้วยล็อกสองชั้น และปรับตำแหน่งของวัสดุบุกันเสียงต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งยึดด้วยกาวช่วยดูดซับแรง สำหรับโครงสร้างตัวรถ วิศวกรได้ปรับรูปทรงของเสาคู่หน้า และช่องดักอากาศใหม่ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศพร้อมลดเสียงลม ทำให้ได้ตัวถังที่แข็งแกร่ง บิดตัวน้อย และระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิงก์ก็มีส่วนช่วยลดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างมาก

    ความปลอดภัยเต็มคัน Lexus Safety System+ ทั้งระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ LEXUS TEAMMATE ADVANCE PARK ,การเปิดประตูแบบบ SEA (Safe Exit Assist), ตรวจมุมอับสายตา (BSM), ป้องกันก่อนการชน Pre-collision Safety System ,ปรับไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะ Adaptive High-beam System (AHS), ช่วยรักษาช่องทางวิ่ง Lane Tracing Assist (LTA), ควบคุมความเร็วแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control

    Lexus Lexus

    Lexus RX 450h+ มีทั้งหมด 9 สี ได้แก่Sonic Quartz, Sonic Titanium, Sonic Chrome, Sonic Iridium, Graphite Black Glass Flake, Red Mica Crystal Shine, Sonic Copper, Terrane Khaki Mica Metallic, Deep Blue Mica ส่วนสีภายในรุ่น Luxury AWD (Smooth leather) มีทั้งสี Hazel และสี Black และรุ่น Premium AWD (Semi-Aniline leather) สีDark Sepia และสี Black

    พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไฮบริด นานถึง 10 ปี และรับประกันคุณภาพรถยนต์และระบบไฮบริด 4 ปี  ไม่จำกัดระยะทางโดยมีราคาดังนี้(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

    – รุ่น Luxury AWD                   4,640,000 บาท

    – รุ่น Premium AWD               5,090,000 บาท

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts