More

    Range Rover 2023 สร้างนิยามใหม่กับการเดินทางที่หรูหราเริ่ม 11.499 ล้านบาท

    Range Rover เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวครั้งใหญ่ในรอบสิบปีในร่างใหม่หมดทั้งคันแต่ยังคงความเป็นอัครเอสยูวีหรูเช่นเดิม

    Range Rover

    ล่าสุด อินช์เคป (ประเทศไทย) ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเปิดตัวที่สุดยานยนต์เอสยูวีหรู จะเปิดตัว Range Rover เจนใหม่ในเมืองไทยหรูสง่างามกว่ากับหน้าตาร่วมสมัยเป็นเอกลักษณ์สไตล์ผู้ดีอังกฤษ แต่ยังมีเอกลักษณ์คลาสสิกไว้เช่นเดิม ตั้งแต่ชุดไฟ LED ทั้งคันที่มีประสิทธิภาพและส่องสว่างร่วมกับไฟหน้า LED ใหม่แบบดิจิทัลความละเอียดสูง ลำแสงไกลมากถึง 500 เมตร มีคุณสมบัติไฟเพื่อการส่องสว่างเวลากลางวันอันเป็นเอกลักษณ์ กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์พร้อมปักชื่อ Range Rover ขอบฝากระโปรงหน้า ไฟท้าย LED แนวยาวรูป U คว่ำสีดำ พร้อมฝาท้ายที่เปิดได้ 2 บาน ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ ที่เปิดประตูซ่อนรูปกลมกลืนกับตัวถัง เส้นตัว U ประดับไว้ที่ประตูคู่หน้า สร้างจุดเด่นขึ้นมาทันที โดยมีให้เลือกทั้งแบบฐานล้อสั้น และ ฐานล้อยาว รุ่น Autobiography

    พิเศษกับ New Range Rover SV นำเสนอที่สุดแห่งความสวยงามที่นำไปสู่ความหรูหราและความเป็นส่วนตัว ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างแท้จริง ด้วยทางเลือกของธีมการออกแบบ และตัวเลือกวัสดุจาก SV แสดงถึงการกลั่นกรองการออกแบบของ Special Vehicle Operations และความหลงใหลทางวิศวกรรมเพื่อความหรูหรา ประสิทธิภาพ และความสามารถที่ล้ำสมัย โดยตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์ม MLA-Flex architecture

    Range Rover

    ภายในมาพร้อมเทคโนโลยีอินโฟเทนเมนต์ Pivi Pro ด้วยหน้าจอสัมผัสที่ใหญ่ 13.1 นิ้ว ที่โค้งมนสะท้อนถึงความประณีตทางสถาปัตยกรรมของการตกแต่งภายในด้วยการออกแบบแบบมินิมอล ให้การควบคุมฟังก์ชันหลักทั้งหมดในยานยนต์ที่ใช้งานง่าย โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อมอบอินเทอร์เฟซที่ออกแบบมาคล้ายคลึงสมาร์ทโฟน พร้อมด้วยฮาร์ดสวิตช์ที่สะดวกสบายสำหรับการควบคุมอุณหภูมิ พร้อมมาตรวัดดิจิตอล 13.7 นิ้ว  แบบกึ่งลอยมีกราฟิกความละเอียดสูงรูปแบบใหม่ที่สะท้อนการออกแบบหน้าจอหลักของ Pivi Pro ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และจอแสดงผลส่วนกลางจะให้การตอบสนองแบบสัมผัสเมื่อแตะที่หน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องเหลือบมองที่หน้าจอ จึงเป็นการลดความจำเป็นในการละสายตาจากท้องถนนและทำให้ Pivi Pro ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นไปในตัว

    Range Rover

    Range

    รวมถึงด้านหลังมีจอฝังไว้ที่หลังเบาะคู่หน้า RSE 11.4 นิ้ว สามารถทำงานได้อย่างอิสระจากกันและรองรับการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่มีพอร์ต HDMI ในขณะที่เมื่อใช้งานฮอตสปอต Wi-Fi จะหมายความว่าผู้โดยสารที่นั่งแถวหลังสามารถเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงบนสมาร์ททีวีได้ขณะเดินทาง อุปกรณ์ควบคุมหน้าจอสัมผัสบนที่นั่งเบาะหลังขนาด 8 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่บนที่เท้าแขนตรงกลางที่นั่งเบาะหลังแบบ Executive Class ให้การควบคุมที่รวดเร็วและง่ายดายเพื่อตำแหน่งที่นั่งที่สมบูรณ์แบบ ยกระดับประสบการณ์หรูหราให้กับที่นั่งแถวหลัง พร้อมเครื่องเสียงจาก Meridian กำลังขับ 1,600 วัตต์ เพื่อสร้างหนึ่งในห้องโดยสารที่เงียบสงบที่สุดบนท้องถนน กับลำโพงเสริม 20 วัตต์ ในพนักพิงศีรษะ หลักทั้งสี่เพื่อประสบการณ์เสียงที่ดื่มด่ำมากที่สุด ทั้งหมด 35 จุดรอบคัน

    Range Rover

    หรูหราแทนหนังแบบดั้งเดิมคือเนื้อผ้าเกรดดีใหม่ที่ผสมผสานระหว่าง Ultrafabrics และผ้าวูลผสม Kvadrat ที่เลือกได้ทั้ง 3 ตอน 7 ที่นั่ง หรือ 2 ตอน 5 ที่นั่ง และหรูสุด 4 ที่นั่งแบบ VIP พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 4 ก้านดีไซน์คล้ายกับ Range Rover เจนแรกยุค 70 และ Head-Up Display จอแสดงผลบนกระจกบังลมหน้า เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมฟอกอากาศในห้องโดยสาร (Cabin Air Purification Pro) รวมเทคโนโลยี nanoeTM X พร้อมระบบจัดการ CO2 และการกรองอากาศ PM2.5 ในห้องโดยสารช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศ และสามารถลดไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างมาก รวมไปถึงไวรัส SARS-CoV-2 ได้ และยังเป็นสถานที่อันเงียบสงบด้วยที่สุดแห่งเทคโนโลยีความเงียบในห้องโดยสาร Active Noise Cancellation ตัดเสียงรบกวนจากภายนอก ผ่านลำโพงพนักพิงศีรษะ เพิ่มความสบายและสุนทรีในการโดยสารตลอดเส้นทาง

    Range Rover

    สำหรับเมืองไทยมีขุมพลังทั้งเบนซินเทอร์โบ PHEV และดีเซลเทอร์โบ MHEV เริ่มที่ เบนซินเทอร์โบ PHEV-Plug In Hybrid ที่มีมาสองขนาดเริ่มที่รุ่น P440e 3.0 ลิตร 440 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 620 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที พร้อมความจุแบต 38.2 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 114 กม. ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 140 กม./ชม. และ P510e 3.0 ลิตร 510 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที พร้อมความจุแบต 38.2 kWh มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 113 กม. ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 150 กม./ชม. ทั้งสองรุ่นสามารถชาร์จที่บ้าน Wallbox AC ชาร์จช้า 0-100% ชาร์จได้ 5 ชม. ชาร์จเร็ว DC รองรับสูงสุด 50 kW 0-80% ในเวลา 40 นาที โดยที่ปล่อยก๊าซ CO2 โดยรวมต่ำกว่า 30 กรัมต่อกิโลเมตร

    Range Rover

    และดีเซลเทอร์โบ MHEV-Mild Hybrid รุ่น D350 ขนาด 3.0 ลิตร 350 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,000 รอบ/นาทีมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟขนาดเล็ก 48 V รองรับแรงบิดมากถึง 1,400 นิวตันเมตร ช่วยเสริมพละกำลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์

    Range Rover

    ทุกขนาดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ iAWD ควบคุมโดยระบบ Intelligent Driveline Dynamics (IDD) ของแลนด์โรเวอร์ ซึ่งทำงานตรวจสอบระดับการยึดเกาะและการสั่งการของผู้ขับขี่ 100 ครั้งต่อวินาที เพื่อคาดการณ์กระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังและกระจายไปทั่ว เพลาหลัง เพื่อแรงยึดเกาะที่ดีที่สุดทั้งบนทางราบเรียบและทางขรุขระ พร้อม Terrain Response 2 ที่มีโหมดออฟโรดถึง 6 โหมด เลือกได้ตามเส้นทางที่แตกต่าง ตั้งแต่ โหมดการขับขี่ทางเรียบไฮเวย์ Normal Driving, โหมดลุยน้ำ WADE, โหมดลุยในทางโขดหิน Rock Crawl, โหมดลุยทางโคลนและแอ่งโคลน MUD And Ruts, โหมดลุยทางพื้นหญ้า-กรวด-หิมะ Grass- Gravel- Snow และโหมดลุยพื้นทราย Sand  ล็อกเฟืองท้าย Differential Controls

    Range Rover

    รวมถึงระบบเลี้ยวสี่ล้อที่ เพลาหลังที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าให้มุมบังคับเลี้ยวสูงถึง 7 องศา และหมุนในมุมที่ต่างกับล้อหน้าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ทำให้มีวงเลี้ยวที่น้อยกว่า 11 เมตร ที่ความเร็วสูงขึ้นไปเพลาหลังจะหมุนตามล้อหน้าเพื่อเสถียรภาพและความสะดวกสบายที่มากขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสะดวกสบายเท่ากันทั้งบนท้องถนนที่กว้างและถนนในเมืองที่คับแคบเป็นอุปสรรคมาพร้อมช่วงล่างถุงลมแบบอิเล็กทรอนิกส์ Dynamic Response Pro ระบบช่วงล่างแบบล่วงหน้าที่ใช้ข้อมูล eHorizon Navigation ในการอ่านถนนข้างหน้าและปรับสภาพระบบช่วงล่างให้ตอบสนองอย่างสมบูรณ์แบบบนพื้นฐานช่วงล่างแบบอิสระโดยสมบูรณ์เป็นรากฐานสำคัญของการขับขี่อย่างหรูหราและมีเพลาหลังแบบแขนห้าก้านตัวแรก ซึ่งแยกห้องโดยสารจากพื้นผิวที่ไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคยโดยใช้สปริงถุงลมขั้นสูง ทำงานคู่กับระบบช่วยบังคับเลี้ยว (Steering Assist) เพื่อให้การเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงความเร็วกะทันหันของตัวยานพาหนะเป็นไปอย่างราบรื่น

    Range Rover

    พร้อมความปลออดภัยเต็มคันทั้งเทคโนโลยีไฟหน้าแบบปรับอัตโนมัติ (Adaptive Front Lighting) และเทคโนโลยีการฉายภาพเมื่อสตาร์ทเครื่อง ระบบไฟหน้าแบบปรับอัตโนมัติสามารถเลือกทอดเงาลงบนวัตถุในเส้นทางของเรนจ์โรเวอร์รุ่นใหม่ได้มากถึง 16 ชิ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้ท้องถนนคนอื่นๆ จะไม่ตาพร่าในขณะที่ยังคงให้แสงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ เทคโนโลยีเบี่ยงแสงไฟแบบคาดการณ์ขณะขับขี่ (Predictive Dynamic Bending Light) ใช้ข้อมูลการนำทางเพื่อปรับลำแสงสำหรับมุมถนนที่เข้ามาใกล้ตลอด  เวลาบนท้องถนน ไฟช่วยขับขี่ (Manoeuvring Light) แบบใหม่ช่วยให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำในสภาพแวดล้อมแสงน้อยได้อย่างมั่นใจ ด้วยการสาดแสงรอบบริเวณของรถยนต์ ทำงานร่วมกับระบบกล้องรอบด้าน 3 มิติเพื่อให้ความคล่องตัวที่ง่ายดาย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) และเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติแบบ Over-The-Air (SOTA) สำหรับโมดูลอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 70 โมดูล

    Range RoverRange Rover เจนใหม่มีหลายระดับความหรูตั้งแต่รุ่น Autobiography และรุ่น SV โดยนำเข้ามาในไทยสี่รุ่นย่อยพร้อมราคาดังนี้

    • 3.0 Petrol Plug-In Hybrid SWB AWD Autobiography Plus             ราคา 11,499,000 บาท
    • 3.0 Petrol Plug-In Hybrid SWB AWD SV Plus                              ราคา 15,999,000 บาท
    • 3.0 Petrol Plug-In Hybrid LWB AWD Autobiography Plus              ราคา 11,999,000 บาท
    • 3.0 Diesel LWB AWD Autobiography Plus                                   ราคา 15,999,000 บาท

    พร้อม LAND ROVER CARE นาน 5 ปี ประกอบด้วย การรับประกันคุณภาพ บริการบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts