BMW Group ได้เผยแพร่รายงานผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นถึง 12.1% ในไตรมาสแรกของปี 2022 ถึงแม้ว่าทางค่ายจะได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์และสงครามในยูเครน
จากการเปิดเผยของค่ายผู้ผลิตรถจากเยอรมนี พวกเขาทำกำไรก่อนหักภาษีได้ถึง $12,850 ล้าน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีกำไร $3,960 ล้าน ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่รายรับนั้นมีตัวเลขอยู่ที่ $32,810 ล้าน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเช่นกัน โดยไตรมาสแรกของปีที่แล้วพวกเขามีรายรับอยู่ที่ $28,210 ล้าน
BMW Group ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติม 25% ในกิจการร่วมค้าของจีน Brilliance ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้รายรับของทางค่ายเพิ่มสูงขึ้น โดยพวกเขาพึ่งเสร็จสิ้นกิจกรรมโอนหุ้นไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2022 ทำให้ในตอนนี้ BMW มีหุ้น 75% อยู่ใน Brilliance นอกจากนี้พวกเขายังได้ขยายระยะเวลาสัญญาของการร่วมทุนจากปี 2028 ถึง 2040
“สงครามในยูเครนส่งผลให้มีชุดสายไฟที่จำกัด การขาดแคลนส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์อย่างต่อเนื่อง และการล็อกดาวน์ที่เป็นผลมาจากโรคระบาดในจีน ส่งผลให้การผลิตทั่วโลกหยุดชะงักในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022” BMW กล่าวในระหว่างการรายงานทางการเงิน “อย่างไรก็ตามยอดขายที่ลดลงถูกจุนเจือด้วยราคาและการผสมผสานของผลิตภัณฑ์ที่เป็นบวก เช่นเดียวกับปริมาณธุรกิจอะไหล่และอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มขึ้น ตลาดรถยนต์มือสองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรฯ ยังคงมีผลประกอบการที่ดี ทำให้สามารถตั้งราคาขายที่สูงขึ้น และช่วยให้สามารถบรรลุรายรับที่สูงขึ้นจากผลตอบแทนของสัญญาเช่า นอกจากนั้นเรายังได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินที่เอื้ออำนวย”
ทางด้านยอดขายนั้น BMW มียอดที่ลดลงจากไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งมียอดขายรถยนต์ทุกแบรนด์รวมอยู่ที่ 636,606 คัน ในขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2022 พวกเขาขายได้ 596,907 คัน นอกจากนั้นยอดการผลิตเองก็มีจำนวนที่ลดลงในไตรมาสแรกเช่นกัน โดยทางค่ายผลิตออกมาได้ 541,776 คัน ในปีนี้ เทียบกับ 669,118 คัน ในปีที่แล้ว
ในส่วนของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดนั้น ทางค่ายมีตัวเลขที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้พวกเขาขายได้ 35,289 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ขายได้ 14,161 คัน
อ้างอิง : carscoops.com
