More

    อากาศร้อนทำร้ายอะไรรถคุณได้บ้าง?

    โลกของเรานั้นมีสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งไม่เพียงแต่คนเท่านั้นที่รู้สึกไม่สบายตัวกับสภาพอากาศร้อนจัด รถยนต์เองก็เข่นเดียวกัน

    สถิติจากสหราชอาณาจักรฯ แสดงให้เห็นว่า เมื่ออากาศร้อนจัดจะมีการเรียกหน่วยกู้ภัยหรือบริการรถยกมากขึ้น 20% และพุ่งสูงถึง 30% ในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล โดยที่ 50% ของผู้ที่เรียกนั้นรถมีปัญหากับความร้อนขึ้นสูง และนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหารถเสียบนถนนในสหราชอาณาจักรฯ

    ถึงแม้ว่ารถยนต์ในปัจจุบันจะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่ว่าจะเย็นจัดหรือร้อนจัด แต่มันก็ยังมีโอกาสที่รถของเรานั้นจะเกิดปัญหาได้อยู่ซึ่งอาจมีผลต่อสมรรถนะของรถหรือแม้กระทั่งความปลอดภัยของผู้ใช้รถ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องหมั่นดูแลบำรุงรักษารถของเราไม่ให้เกิดความบกพร่องในการทำงาน

    ว่าแต่… แล้วอากาศร้อนทำให้เกิดปัญหาต่อส่วนไหนของรถบ้างล่ะ? และทำอย่างไรเราถึงจะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้นได้ เราได้ลองลิสต์ถึงปัญหาคร่าวๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นกับรถของคุณ ดังนี้

    Battery
    ที่มาภาพ : thaiengine.org

    แบตเตอรี่

    ไม่เพียงแต่อากาศเย็นจัดที่ทำร้ายแบตเตอรี่ของเราอย่างทารุณ อากาศร้อนจัดก็ทำร้ายแบตเตอรี่ของรถคุณได้เช่นกัน มันมีโอกาสที่อากาศร้อนจัดอาจจะขัดขวางกระบวนการทางเคมีภายในแบตเตอรี่รถยนต์ได้ พูดง่ายๆ ก็คือมันมีโอกาสที่จะทำให้แบตเตอรี่ของคุณนั้นชาร์จไฟไม่ทันต่อการใช้งาน และยิ่งมีโอกาสเกิดปัญหามากขึ้นถ้าคุณมีการใช้ไฟบนรถของคุณอย่างหนักหน่วง

    หากคุณไม่ต้องการที่จะพบเจอกับปัญหาเหล่านี้ คุณสามารถที่จะตรวจสอบแบตเตอรี่เบื้องต้นได้โดยการใช้โวลต์มิเตอร์เช็คสภาวะไฟภายในแบตเตอรี่ของคุณ ตรวจเช็คระดับน้ำกลั่นถ้าแบตเตอรี่ของคุณเป็นแบบมีน้ำ หากพบว่าแบตเตอรี่ของคุณมีสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา คุณจะได้แก้ไขหรือเปลี่ยนมันได้ทันก่อนเกิดปัญหา

    Coolant
    ที่มาภาพ : torque.com.sg

    ระบบหล่อเย็น

    แน่นอนว่าระบบหล่อเย็นนั้นมีงานหนักที่รอพวกมันอยู่ในสภาวะอากาศร้อนจัด น้ำหล่อเย็นนั้นจะหล่อเลี้ยงอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการทำงาน แต่ในช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นก็จะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเมื่อน้ำหล่อเย็นไม่สามารถหล่อเย็นเครื่องยนต์ของคุณให้อยูในสภาวะเหมาะสมต่อการทำงาน โอกาสในการที่เครื่องยนต์จะร้อนเกินก็มีสูงขึ้น และคุณคงไม่อยากให้เครื่องยนต์ของคุณร้อนจัดจนเกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา เช่น ฝาสูบโก่ง เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีกับกระเป๋าสตางค์ของคุณแน่ๆ

    แนวทางที่จะแก้ไขปัญหานี้คือ คุณต้องแน่ใจว่าน้ำหล่อเย็นที่คุณใช้นั้นเหมาะสมกับสภาวะอากาศร้อน เนื่องจากน้ำหล่อเย็นเองก็มีหลายเกรดที่จะทำงานในสภาะอากาศที่แตกต่างกันออกไป น้ำหล่อเย็นที่มีจุดเดือดสูงกว่าก็จะเหมาะกับสภาพอากาศร้อนมากกว่า นอกจากนั้นต้องไม่ลืมตรวจสอบด้วยว่าพัดลมระบายความร้อนของรถคุณนั้นทำงานอยู่ในสภาวะปกติ เพราะหากพัดลมของคุณขัดข้องหมุนช้ากว่าปกติหรือไม่ทำงาน นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถของคุณความร้อนขึ้นได้เช่นกัน

    tyre pressure
    ที่มาภาพ : motorexpo.co.th

    ยาง

    ยางกับอากาศร้อนนั้นไปด้วยกันไม่ค่อยได้อยู่แล้ว อากาศร้อนจะทำให้ความดันภายในยางสูงขึ้นเนื่องจากอากาศขยายตัว และหากคุณโชคไม่ดีมันอาจจะทำให้แก้มยางของคุณปูดออกมา ซึ่งแน่นอนว่าก่ออันตรายต่อการขับขี่รถของคุณ และจากสถิติที่ทางสหราชอาณาจักรฯ เก็บมา มีรถกว่า 300,000 คัน ที่มีปัญหาหรือเกิดอุบัติเหตุเพราะยางในทุกๆ ปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน

    หากความดันภายในยางของคุณถูกต้องตามค่าที่ทางค่ายผู้ผลิตแนะนำมา มันก็จะช่วยลดโอกาสที่คุณจะเกิดเหตุยางแตกหรือรั่วไปได้มาก คุณควรหมั่นเช็คลมยางในทุกๆ เช้าหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยเฉพาะก่อนการเดินทางไกล

    Engine Oil
    ที่มาภาพ : chemihouse.com

    น้ำมันเครื่อง

    ไม่เพียงแต่น้ำหล่อเย็นเท่านั้น น้ำมันเครื่องก็ร้อนขึ้นเช่นกันเมื่อต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อน และเมื่อมันร้อนขึ้นมันอาจจะไม่ได้ปกป้องดูแลเครื่องยนต์ของคุณได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น

    และเช่นเดียวกับน้ำหล่อเย็น น้ำมันเครื่องก็มีหลายเกรดซึ่งแต่ละเกรดก็เหมาะสำหรับการใช้งานในแต่ละสภาวะแตกต่างกันไป การเลือกใช้น้ำมันเครื่องเกรดที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์และสภาพแวดล้อมที่คุณใช้รถจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์รถคุณออกไป

    AC
    ที่มาภาพ : autodeal.com.ph

    เครื่องปรับอากาศ

    อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้เมื่อย่างเข้าสู่หน้าร้อน เพราะถ้าหากว่ามันพังขึ้นมา คุณแทบจะกลายเป็นไก่อบในรถของคุณเลยทีเดียว

    การหมั่นตรวจสอบระบบเครื่องปรับอากาศจะทำให้คุณไม่ต้องเผชิญกับสภาวะไก่อบข้างต้น คุณสามารถนำรถเข้าตรวจเช็คกับอู่หรือศูนย์บริการได้หากแอร์ของคุณเริ่มที่จะไม่เย็น ทีมช่างจะตรวจเช็คน้ำยาแอร์ พัดลมระบายความร้อน หรือคอมเพรสเซอร์ให้ โดยระบบแอร์ควรจะได้รับการตรวจเช็คทุกๆ 20,000 km หรือ 2 ปี

    อ้างอิง : holtsauto.com

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts