จากการศึกษาใหม่พบว่า รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในมียอดขายสูงสุดในปี 2017 แต่พวกมันจะไม่กลับไปแตะยอดแบบนั้นอีกแล้ว ถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายลงไปมาก
การวิเคราะห์นั้นถูกดำเนินการโดยสื่อ Bloomberg ซึ่งเผยให้เห็นว่า ยอดขายรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปที่รวมเอาตัวเลขของรถที่ใช้ระบบไฮบริดแบบดั้งเดิม พุ่งสูงสุดในปี 2017 ด้วยยอดขาย 86 ล้านคัน ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่และปลั๊กอินไฮบริดมียอดขายเพียงอย่างละ 1 ล้านคัน ในปีเดียวกัน
เวลาผ่านไป 5 ปี มาสู่ปี 2022 ตัวเลขนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ยอดขายรถยนต์สันดาปนั้นลดลงเกือบ 20% เหลือเพียง 69 ล้านคัน ในทางกลับกัน ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดพุ่งขึ้นเป็น 2.9 ล้านคัน และยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่พุ่งสูงขึ้นถึง 7.5 ล้านคัน
ไม่ว่าจะเป็นตลาดฝั่งอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีน ทั้งหมดนั้นต่างก็แสดงแนวโน้มไปในทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในปี 2017 รถยนต์สันดาปในจีนถูกขายไป 24.22 ล้านคัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีเพียง 110,000 คัน และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขายได้แค่ 42,000 คัน
ส่วนในปี 2022 ยอดขายรถยนต์สันดาปลดลงเหลือ 17.47 ล้านคัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้นเป็น 1.48 ล้านคัน และยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขยับตัวเลขไปอยู่ที่ 4.6 ล้านคัน เลยทีเดียว
สื่อ Bloomberg ยังได้คาดการณ์ว่า ตลาดอื่น ๆ จะตามเทรนด์ไปทางนี้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกขายนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มที่จะแซงหน้าการเติบโตของยอดขายรถยนต์สันดาปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกขายในอินเดียก็น่าจะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยยอดขายนั้นเพิ่มขึ้นจาก 15,000 คัน ในปี 2021 ไปเป็นเกือบ 50,000 คันในปี 2022
สำหรับตลาดฝั่งเม็กซิโกและบราซิลนั้น ยอดขายรถยนต์ทุกประเภทนั้นค่อนข้างคงที่ ส่วนแอฟริกาน่าจะเป็นทวีปเดียวที่เราน่าจะเห็นยอดขายรถยนต์สันดาปเพิ่มขึ้นในปี 2023 จากปี 2022 เล็กน้อย
ด้วยแนวโน้มที่ทั่วโลกกำลังตามเทรนด์กันอยู่นี้ นักวิจัยเชื่อว่าจำนวนรถยนต์สันดาปบนท้องถนนทั่วโลกจะยังคงค่อนข้างคงที่เป็นเวลา 3 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะเริ่มลดลงในปี 2026 เนื่องจากจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเริ่มกลายเป็นรถยนต์ส่วนใหญ่บนท้องถนน
อ้างอิง : carscoops.com