นอกจากจะมี Audi A7 Sportback 55 TFSI e เก๋งสปอร์ตพกถ่านแบบเสียบปลั๊กในราคา 4 ล้านปลายๆแล้วยังแนะนำเก๋งเรือธงอีกรุ่นกับ Audi A8 L 60 TFSI e
สัมผัสประสบการณ์การเดินทางแบบ First Class กับ Audi A8 L TFSI e ซีดานปลั๊กอินไฮบริดสุดหรู ดีไซน์โดดเด่น สปอร์ตพรีเมียม ทรงพลัง สง่างามเหนือระดับ พร้อมเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าขั้นสูง เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันนวัตกรรมระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน ภายนอกสิ่งที่เปลี่ยนไปกับล้ออัลลอยลายห้าก้านคู่ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/40R20 นอกนั้นเหมือนกับรุ่น A8 L 55 TFSI quattro Prestige S line ทั้ง กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม แบบ singleframe ที่ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับการตกแต่งที่โดดเด่นด้วยชุด Chromium ที่ดูหรูหรา กันชนหน้าดีไซนช่องดักอากาศที่มีความเด่นชัดมากขึ้นดีไซน์ใหม่ลากยาวไปถึงกันชน พร้อมด้วยชุดแต่ง S line exterior package ออกแบบให้มีความสปอร์ตมากขึ้นด้วยช่องดักลม และ diffuser
พร้อมไฟหน้า HD matrix LED ไฟเลี้ยวแบบ dynamic ออกแบบ เส้นสายด้านข้างตัวรถทำให้เห็นถึงความยาวที่โดดเด่นพร้อมฟังก์ชัน Light staging แบบ Coming home/Leaving home, ระบบ high beam assist ด้านท้ายของตัวรถมีเส้นสายที่ชัดเจนด้วยการตกแต่งด้วย Chromium คาดยาวตั้งแต่ฝั่งซ้ายจรดฝั่งขวาของตัวรถหรูหราคลาสสิกด้วยกระจกโอเปร่า พร้อมไฟท้าย OLED แนวยาวพร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหลัง A8 L signature ซึ่งรูปแบบไฟท้ายสามารถปรับได้ 2 แบบ หากปรับโหมดการขับขี่เป็นแบบ Dynamic และนอกจากนี้เมื่อมีวัตถุอื่นเข้ามาใกล้ในระยะ 2 เมตร ขณะที่รถจอดอยู่ ไฟ OLED ทั้งแผงจะติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติอย่างชัดเจน เพื่อเตือนผู้ที่เข้ามาใกล้ไฟเลี้ยวที่เป็นแบบ Dynamic ด้วย รวมไปถึงฟังก์ชัน Coming home หรือ leaving home ขณะดับเครื่อง และเปิด/ปิดล็อครถพร้อมแถบโครเมียมและระบบช่วยผ่อนแรงเมื่อปิดประตู
ด้วยมิติตัวรถที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเล็กน้อยด้วยความยาว 5,320 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,945 มิลลิเมตร ความสูง 1,488 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,128 มิลลิเมตร และความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร ใช้โครงสร้างแบบ Audi Space Frame ซึ่งใช้ชิ้นส่วนอลูมิเนียมมากถึง 58 เปอร์เซ็นต์ และในส่วนของห้องโดยสารนั้น ผลิตด้วยเหล็ก Ultra-high strength steel (เหล็กที่มีความแข็งแรงสูงแบบพิเศษ) ภายใต้คอนเซ็ปของโครงสร้างแบบ lightweight ดังนั้น ด้วยโครงสร้างของตัวรถที่มีการออกแบบมาอย่างลงตัว ทำให้โครงสร้างตัวรถ มีความแข็งแรงสูง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ยังช่วยเสริมการควบคุมเสถียรภาพของตัวรถ ทำให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ง่าย เพิ่มความสบายในการขับขี่ และเพิ่มความเงียบสงบของห้องโดยสาร
ภายในออกแบบมาให้กว้างขวางที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังเหมือนรุ่น A8 L 55 TFSI quattro Prestige S line จะเป็นเบาะแยกอิสระประดุจดั่ง First class lounge ที่ยังคงความเรียบหรูไว้ และมาพร้อมฟังก์ชันที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟังก์ชันที่ช่วยการผ่อนคลาย สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้านซ้าย ไม่ว่าจะเป็นที่พักเท้าแบบปรับไฟฟ้าเพื่อขยายพื้นที่พักเท้า ที่มาพร้อมระบบนวดเท้า และระบบอุ่นร้อน เบาะหลังปรับเอนได้ มาพร้อมระบบนวด 18 จุด pneumatic cushions และระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง มอบความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังมีจอแสดงผล 2 ตำแหน่ง Full HD แบบแยกอิสระ ขนาด 10.1 นิ้ว ที่ผู้โดยสารจะเพลิดเพลินกับระบบ streaming ต่างๆ โดยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต นอกจากนั้นแอร์หลังยังเป็นแบบ 4 โซน ซึ่งสามารถควบคุมผ่านจอ Tablet แบบ OLED ขนาด 5.7 นิ้ว เพิ่มความนุ่มสบายด้วยวัสดุคุณภาพสูง โดยเฉพาะหนัง Valcona ตกแต่งแบบ Diamond Cut มีสีภายในเป็นสี Cognac brown ที่เพิ่มความพรีเมียมให้กับตัวรถมากขึ้น และมีพื้นที่เก็บของท้ายรถ 505 ลิตร หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ม่านบังแดดปรับไฟฟ้าสำหรับกระจกด้านหลังและกระจกข้างด้านหลังเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ไฟอ่านหนังสือภายในแบบ Matrix LED เพื่อความสะดวกสบายในการมองเห็นภายในรถ พร้อมฟังก์ชันใหม่ ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนริ่มการขับขี่ Stationary air conditioning
จอแสดงผล Virtual cockpit ที่ทันสมัย แสดงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญให้กับผู้ขับขี่ และยังสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงข้อมูลต่างๆ ตามความเหมาะสมได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง MMI Navigation plus หรือ Multi-media และ MMI touch response สามารถควบคุมได้ผ่านจอกลางขนาด 10.1 นิ้ว และขนาด 8.6 นิ้ว และยังสามารถเพลิดเพลินกับเครื่องเสียง Bang&Olufsen Premium Sound System with 3D sound 17 ลำโพง 16-channel amplifier 730 watts ที่มีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Prestige S line โดยเครื่องเสียงให้เนื้อเสียงที่สมจริง เสมือนอยู่ใน concert hall จอรีโมทแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมจอ OLED แบบสัมผัสขนาด 5.7 นิ้ว และ Head-up display ภายในตกแต่งด้วย Piano Black
Audi A8 L 60 TFSI e quattro ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ให้ความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระยะการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 52 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จด้วยไฟ 220 โวลต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง จากพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ V6 3.0 TFSI รหัส CZS ให้กำลังถึง 340 แรงม้าที่ 5,000-6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,370-4,500 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดถึง 136 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาด 17.9 kWh มาพร้อมกับ on board charger ขนาด 7.4 kWh ให้กำลังสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 52 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อ ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.3 ลิตรต่อ100 กิโลเมตร
ปลั๊กอินไฮบริดของ Audi นั้นมาพร้อมกับการขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ EV Mode, Battery Hold, Battery Charge, และ Hybrid รถจะทำงานแบบคาดการณ์ล่วงหน้าและถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเริ่มการใช้ระบบนำทาง MMI Navigation plus with MMI touch response การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้อย่างชาญฉลาดและปรับให้เหมาะสมต่อการขับขี่ตลอดเส้นทาง รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักเมื่ออยู่ในตัวเมืองและในการจราจรที่แน่นหนา โดยทั่วไปแล้วระบบจะคำนวณการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด และใช้แบตเตอรี่ที่มีอยู่ให้หมดเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
เมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบลอยตัว ตัวรถจะทำการชาร์จไฟกลับสู่แบตเตอรี่ด้วยระบบ Coasting Recuperation โดยระบบนี้จะสามารถคืนพลังงานไฟฟ้าให้กับรถได้มากถึง 25 กิโลวัตต์ นอกจากนั้นในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการเบรก Audi A8 L 60 TFSI e quattro จะสามารถคืนพลังงานเข้าแบตเตอรี่ได้สูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ ด้วยระบบ Brake recuperation โดยมีหน้าจอ Virtual Cockpit และระบบ MMI หน้าจอระบบสัมผัสที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย เช่น มาตราวัดกำลัง ระยะทาง หรือพลังงานในปัจจุบันของระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อจะได้เลือกการขับขี่ได้อย่างถูกต้อง
ระบบความปลอดภัยแบบครบครันทั้ง ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) แจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) แจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning แจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist)
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line มาพร้อมกับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น ดีไซน์การตกแต่งของเบาะนั่งภายในดูสปอร์ตมากขึ้นด้วยลาย Diamond cut ทั้งยังเพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มาอย่างครบครันในราคาที่ถูกลงมากกว่า 1 ล้านบาท เปิดให้จองแล้วในราคา 7,199,000 บาท สีภายนอกมีให้เลือกไม่ว่าจะเป็น Metallic Glacier White, Metallic Mythos Black, Metallic Floret Silver และ 2 สีใหม่ Metallic Firmament Blue, Metallic District Green สีภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี คือ Cognac Brown และ Black