Ford อเมริกาเปิดตัวรุ่นปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 3 ปีสำหรับ Ford F-150 Facelift ที่งานนี้แกร่งดุดันมากกว่าเดิมในร่างเจเนอเรชันที่ 14
ด้านหน้าปรับหล่อตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่พร้อม Active Grill Shutter ปิดช่องในกระจังหน้าเน้นความประหยัดน้ำมัน กันชนหน้าออกแบบใหม่ ไฟหน้า LED กับไฟ LED Daytime ในโคมเดียวกันดีไซน์ใหม่ดุดันกว่าเดิม กันชนหน้าดีไซน์บึกบึน ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 275/60R20 ออกแบบใหม่พร้อมล้ออัลลอยกับกระทะล้อและยางขนาดอื่นๆมีตั้งแต่ 17 นิ้วพร้อมยาง 245/70R17 กับขนาด 265/70R17C, 18 นิ้วพร้อมยาง 265/60R18, 265/70R18 ,275/65R18 และ 275/70R18 ขนาดใหญ่ 22 นิ้ว พร้อมยาง 275/50R22
ฝาท้ายดีไซน์ใหม่พร้อมไฟท้าย LED ใหม่แต่ฟังก์ชันยังคงเดิมทั้งช่องวางของกระจุกกระจิกทั้ง ปากกา แก้วน้ำ แท็บเล็ต เพื่อการทำงานนอกสถานที่หลายรูปแบบตอบโจทย์ช่างยุคใหม่ด้วยเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กพร้อมช่องเสียบปลั๊ก Power Pro อำนวยความสะดวกในการใช้งานเครื่องมือช่างได้อย่างเต็มรูปแบบ ให้กำลังไฟ 2 kW, 2.4 kW และ 7.2 kW เป็นออปชันเสริม พิเศษในรุ่นปรับโฉมมาพร้อมฝาท้ายแบบ Pro Access Tailgate โดยจะเลือกเปิดลงทั้งบานแบบดั้งเดิมหรือจะเปิดตรงกลางฝากระบะท้ายก็ได้ตามการใช้งานโดยแบ่งการเปิดแบบ 3 รูปแบบจะเปิดกางแบบ 37 องศา, 70 องศา และ 100 องศา โดยเป็นออปชันเสริมในรุ่น Platinum จะออกจำหน่ายตั้งแต่ มีนาคม ปี 2024
ภายในมีการปรับในส่วนห้องโดยสารด้วยโทนสีใหม่ ดีไซน์แผงคอนโซลหน้าแผงประตูตกแต่งหรูหราด้วยวัสดุผิวสัมผัสใหม่ จอสัมผัสรองรับความบันเทิง Ford’s SYNC 4 รองรับ Apple Car Play, Android Auto ใหญ่กว่าขนาด 12 นิ้ว ลำโพงมีทั้งแบบ 7 จุด และ 18 จุด จาก B&O Sound System คอนโซลกลางขนาดใหญ่ไว้พื้นที่ส่วนตัวในการทำงานทั้งวางโน๊ตบุ๊คทำงานและมาตรวัดดิจิทัลบอกทั้งความเร็วกับรอบเครื่องยนต์ขนาด 12.3 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ให้ทันสมัยทำงานแม่นยำขึ้น เบาะนั่งหรูแบบไฟฟ้าคู่หน้าปรับได้ 12 ทิศทางพร้อมระบบความจำและด้านคนนั่งปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เบาะนั่งปรับเอนได้ 180 องศา ส่วนเบาะด้านหลังมีที่เก็บใต้เบาะ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน จอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า Head Up Display พร้อม BlueCruise 1.2 บริการสำหรับสมาชิก
ขุมพลังแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ EcoBoost 3.5 ลิตร V6 213 CID ให้กำลังมากถึง 405 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 678 นิวตันเมตรที่ 3,100 รอบ/นาที นอกจากนี้ยังมีเบนซินเทอร์โบคู่ Full Hybrid 3.5 ลิตร V6 PowerBoost ที่มา จับคู่กับมเตอร์ไฟฟ้า 48 แรงม้าพร้อมแบตเตอรี่ lithium-ion ขนาด 1.5 kWh ให้กำลังรวม 437 แรงม้า แรงบิด 570 นิวตันเมตรโดยน้ำมัน 1 ถัง วิ่งไกลสุด 1,127 กิโลเมตร
นอกจากนี้ยังมีเบนซิน V6 2.7 V6 EcoBoost เทอร์โบ, 5.0 V8 Ti-VCT และ 5.2 V8 Supercharged ให้เลือกพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-Time 4WD ขับเคลื่อนสองล้อหลังและคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด 10R80 Select Shift ทุกขนาดเครื่องยนต์ แต่ไม่มี 3.3 ลิตร Ti-VCT อีกต่อไป
พร้อมความปลอดภัยครบครันทั้งระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Collision Assist with Automatic Emergency Braking เตือนมุมอับสายตากับตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด BLIS (Blind Spot Information System) with Cross-Traffic Alert ควบคุมรถให้อยู่ในเลน พัฒนาใหม่ Lane-Keeping System กล้องมองหลัง Rear View Camera และกล้องมองภาพรอบคัน Surround-view camera ปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beams ช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง Reverse Brake Assist, Reverse Sensing Systemควบคุมเบรกหลังเกิดการชน Post-Collision Braking
ฟังก์ชันความปลอดภัยใหม่เพิ่มระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ autonomous lane-change ควบคุมรถให้อยู่ในเลน พัฒนาใหม่ Lane-Keeping System มาพร้อมบริการป้องกันรถที่คุณรักจากการโจรกรรมหรือ Ford Stolen Vehicle Services
กระบะที่ขายดีสุดในอเมริกาอย่าง Ford F-150 รุ่นปรับโฉม มาครบสามรูปแบบตัวถังทั้งแบบตอนเดียว ตอนครึ่งและสี่ประตูหลายเกรดทั้ง XL, STX, XLT, LARIAT, King Ranch, Platinum, Tremor และ Raptor โดยขายจริงต้นปี 2024 ส่วนออสเตรเลียมาตอนช่วงปลายปีเดียวกัน
ที่มา Carsales