หลังเปิดตัวที่ญี่ปุ่น ไทย ได้ไม่นานล่าสุด Mazda MX-5 MY2024 แนะนำสู่แฟนๆชาวออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยครั้งนี้มากันครบทั้ง 2 ตัวถัง
ทั้งรุ่นเปิดประทุนหลังคาแข็งหรือ RF hard-top ที่ด้านบนหลังคาถอดได้และส่วนด้านหลังสามารถพับเก็บได้ ในเวลา 13 วินาที กับความเร็วสูงสุด 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและหลังคาผ้าใบ soft-top ปรับหน้าตาตามสากลเริ่มที่ชุดไฟหน้าใหม่แบบ Bi-Beam LED ที่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL แบบ LED รวมอยู่ในโคมดียวกัน จากเดิมไฟส่องสว่างเวลากลางวันจะอยู่ที่ข้างๆกันชนหน้าซ้าย-ขวา ชุดไฟท้าย LED ออกแบบใหม่รวมทั้งไฟเลี้ยวไฟเบรกและไฟถอยหลังในโคมเดียวที่ดูหรู มองชัดเจนในเวลากลางคืน ชุดรีเฟล็กเตอร์สะท้อนแสงบริเวณกันชนหลังแบบใหม่และล้ออัลลอยลายใหม่ 8 ก้านคู่ทั้งสีดำเมทาลิคและทูโทนสีดำตัดสีเงิน และลาย BBS ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 205/45 R17
มิติตัวรถเท่าเดิมตั้งแต่ความยาว 3,915 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,730 มิลลิเมตร ความสูง 1,235 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,310 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 135-150 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร และน้ำหนักรถ 961-1,080 กิโลกรัม
ภายในห้องโดยสารก็ได้รับการพัฒนาให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยหน้าจอ Center Display ใหม่ ขนาด 8.8 นิ้ว แทนขนาดเดิม 7 นิ้ว ที่รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android AutoTM พร้อมปุ่มควบคุม Center Commander แบบใหม่ รวมถึงกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติแบบไร้กรอบรูปทรงใหม่ ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็น เพิ่มการตกแต่งด้วยคอนโซลกลางหุ้มหนัง มอบสัมผัสสปอร์ต หรูหรา พรีเมี่ยม รวมถึงหน้าปัดวัดความเร็วรอบดีไซน์ใหม่ พร้อมปุ่มควบคุมบริเวณด้านข้าง และระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพงถึง 9 ตำแหน่ง ที่มอบสุนทรียภาพให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง
ขุมพลังแรงเช่นเดิมกับเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร รหัส PE-VPR (RS) 184 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 205 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด SKYACTIV-MT สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 6.8 วินาที โดยให้ความเร็วสูงสุดถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด พร้อม Paddle Shift ขับเคลื่อนล้อหลัง
ครั้งแรกในรุ่นเกียร์ธรรมดาด้วยระบบปิดการควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC-Track (Dynamic Stability Control-Track) แบบไม่พึ่งตัวช่วย เพื่อให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้เหมือนกับการขับรถแข่งในสนามแข่ง โดยระบบจะยอมให้เกิด Understeer หรือ Oversteer เพียงเล็กน้อย และระบบจะเข้ามาช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้จนเกิดเหตุการณ์รถหมุน เพื่อช่วยควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์กับเฟืองท้าย LSD แบบ Asymmetric (Asymmetric Limited Slip Differential: Asymmetric LSD) เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพในการเลี้ยวของรถ โดยควบคุมแรงที่เกิดขึ้นระหว่างล้อหลังและพื้นถนน ด้วยการควบคุมความเร็วของล้อที่เหมาะสมระหว่างล้อหลังทั้งซ้ายและขวาจากตัวเฟืองท้าย LSD ในระหว่างเร่งความเร็วและชะลอความเร็วจึงช่วยให้รถมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเสริมแรงเพื่อให้รถไม่ลื่นไถลในระหว่างลดความเร็วเมื่อขับเข้าโค้ง ซึ่งการปรับปรุงทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เครื่องยนต์ ช่วงล่าง และยาง ในครั้งนี้ จึงทำให้รถรุ่นนี้เป็นรถที่ขับขี่ได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น และให้การเข้าโค้งคมชัดยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยสร้างความสะดวกสบายในเส้นทางการขับขี่ที่คดเคี้ยว หรือแม้จะขับในสนามแข่งก็ตาม
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าปรับเซ็ตน้ำหนักใหม่ให้ความรู้สึกตอบสนองรวดเร็ว พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการทรงตัวขณะเข้าโค้ง KPC (Kinemetic Posture Control) ช่วยให้รถทำงานผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับตัวรถ ช่วงล่างด้านหลังถูกออกแบบเพื่อช่วยป้องกันการยกของตัวรถ (Anti-Lift) จะทำการควบคุมแรงเบรกที่ล้อหลังฝั่งด้านในโค้ง ในขณะที่รถเข้าโค้งเพื่อลดอาการโคลงของตัวรถ ทำให้รถมีเสถียรภาพและเข้าโค้งได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
พร้อมความปลอดภัยครบครันทั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างและด้านหน้า 2 คู่ ระบบสัญญานเตือนกันขโมย เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด เพื่อมอบความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ไปตลอดเส้นทางและความปลอดภัยสุดล้ำ i-ACTIVSENSE เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงเมื่อเผชิญเหตุไม่คาดคิดบนท้องถนน ที่มีมาเพิ่มเติมอีกหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติหลังการชน (Secondary Collision Reduction) เตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced SBS) ช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (SBS-RC) และยังเพิ่มกล้องมองหลังเพื่อช่วยมอบความปลอดภัยสูงสุด
ควบคู่กับระบบความปลอดภัยสุดล้ำอื่นๆ ได้แก่ เตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced SBS: Advanced Smart Brake Support) ช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (SBS-RC: Smart Brake Support: Rear Crossing) ช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติหลังการชน (Secondary Collision Reduction) เฟืองท้าย LSD แบบ Asymmetric (Asymmetric Limited Slip Differential: Asymmetric LSD)
ควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control) รุ่นเกียร์อัตโนมัติเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) เตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System) ช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse) ไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps) ช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert) และตรวจจับป้ายจราจร Traffic sign recognition
Mazda MX-5 MY2024 ขายทั้งหมด 9 รุ่นย่อยทั้งเกรดปกติ, GT, GT RS ในราคาไม่รวมค่า On-Road ของออสเตรเลียเริ่ม $41,520- $56,140 หรือราว 1,015,000-1,369,000 บาท
ที่มา Carexpert