หลังจากเปิดตัวที่จีนเมื่อ 2 ปีก่อน MG7 สปอร์ตซีดานสไตล์ Fastback นอกจากจะขายจีนแล้วยังได้เปิดตัวที่ตะวันออกกลางเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
และมีแนวโน้มที่จะปรับโฉมในอนาคตสำหรับ MG7 ได้แรงบันดาลใจของ MG Cyberster มาขัดเกลาจนสมบูรณ์แบบหรูด้วยไฟหน้า LED ทรงสปอร์ตด้านหน้าหล่อด้านท้ายทรงเท่ด้วยไฟท้าย LED แนวยาว พร้อมโลโก้ MG กันชนหลังทูโทนติดตั้งลิ้นสปอยเลอร์หลังสีดำครอบทับกันชนและท่อไอเสียคู่สองฝั่งแถมมีสปอยเลอร์หลังที่ออกแบบมาสามารถยกตัวเมื่อความเร็วรถเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และพับเก็บได้เมื่อความเร็วรถลดลงเหลือ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงประตูรถทั้งสี่บานเป็นแบบ Hardtop ไร้กรอบ กับกระจกรถโอเปร่า
ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้วพร้อมยาง 225/50R18 กับ 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 245/40 R19 และ 245/40 ZR19 ตัวรถมีความยาว 4,884 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,889 มิลลิเมตร ความสูง 1,447 มิลลิเมตร และฐานล้อ 2,778 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,570-1,650 กิโลกรัม และความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร
ภายในหรูเท่ตั้งแต่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน คอนโซลหน้าที่มีจอขนาดใหญ่แนวยาว 33 นิ้ว ที่รวมทั้ง มาตรวัดดิจิตอลแบบ LCD 10.25 นิ้ว และจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รวมไว้ในชุดเดียวกันรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ประมวลผลเร็วด้วยการใช้ชิปคุณภาพ Xiaolong 8155 ควบคุมทั้งโหมดการขับขี่ที่กำหนดเองและช่วยจอดอัจฉริยะ พร้อมลำโพง BOSE 14 จุด จอแสดงข้อมูลเหนือแผงคอนโซลหน้าแบบ AR HUD พร้อมชุดเบาะนั่งหุ้มหนังแบบ Dinamica กับหนัง Nappa ที่มีโทนให้เลือกทั้งสีแดง เขียว และดำ วัสดุหนังผิวสัมผัสคุณภาพสูง พร้อมที่ชาร์จมือถือไร้สายช่องเสียบ USB-C สองจุด
ขุมพลังมีให้เลือกถึงสองแบบตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร รหัส 20A4E ให้กำลังสูงสุด 261 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราเร่งแรง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดน้ำมัน 14.41 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC หรือ 16.13 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน NDEC จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดของ ZF ในรุ่น 405 VGTI
และเบนซินเทอร์โบแปรผัน VGT รหัส 15E4E ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 188 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประหยัดน้ำมัน 16 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน WLTC หรือ 17.86 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐาน NDEC จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด
ทั้งคู่มาพร้อมโหมดการขับขี่ได้แก่ โหมด Normal, โหมด Eco, โหมด Sport, โหมด Super Sport แรงเหนือชั้น ประหยัดเหลือเชื่อ และปุ่ม X-Mode สามารถเซ็ตค่าต่างๆได้มากกว่า 150 รูปแบบ โดยเซ็ตตั้งค่าทั้งความสามารถเครื่องยนต์ การตอบสนองของพวงมาลัย เสียงท่อไอเสีย มีเฟืองท้ายไฟฟ้า E-LSD กับ mCDC ช่วงล่างอัจฉริยะควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver – Assistance Systems (ADAS) ไม่ว่าจะเป็น
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ ICA (Intelligent Cruise Assist)
ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control) ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Brake) จดจำป้ายจราจร TSR (Traffic Sign Reminder) ช่วยจอดอัจฉริยะ PDC (Parking Car Assist Reminder)
นอกจากนี้ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ ม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
MG7 ห่างหายไปนานถึง 15 ปี จากที่เคยนำพื้นฐานของ Rover 75 มาแปะตรา MG ครั้งนี้ไฉไลยิ่งกว่าเปิดขายจีนทั้งหมด เริ่ม 119,800-169,800 Yuan หรือราว 609,000-865,000 บาท ทางด้านเมืองไทยจะนำเข้ามาท้าชนกับ Toyota Camry Honda Accord Mazda 6 BYD SEAL และ DEEPAL L07 หริอไม่ต้องติดตาม