ตลอด 10 ปี ที่ Suzuki Hustler ตอบโจทย์คนญี่ปุ่นจนสร้างยอดขายสะสมกว่า 3 แสนคันสำหรับเจนที่ 2 และถ้า 2 เจนมารวมกันจะมียอดขายสะสม 7 แสนกว่าคัน
และเพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าที่ให้ความวางใจแนะนำรุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2024 สำหรับมินิคาร์ทรงเหลี่ยมครั้งนี้มีการเพิ่มรุ่นใหม่สไตล์ลุยกับ Suzuki Hustler Tough Wild สิ่งที่แตกต่างเริ่มที่ กระจังหน้าสีเข้มแนวนอนติดตราโลโก้ขนาดใหญ่ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมชุดแต่งกันชนหน้าส่วนบนแบบโครเมียม ราวหลังคา ที่จับประตูดึงก้านสีดำ กันชนหลังออกแบบใหม่พร้อมชุดแต่งกันชนส่วนบนแบบโครเมียม ล้ออัลลอย 5 ก้านคู่สีดำเข้มพร้อมยาง 165/60R15 ไฟท้ายสีขาวแดงขอบเลนส์สีรมดำเข้มแนวตั้งและตราสัญลักษณ์ Tough Wild พื้นหลังสีดำติดท้ายรถ
รุ่นปกติก็มีการปรับเช่นกันด้วยการเพิ่มไฟหน้า LED ทรงกลมขนาดใหญ่ เป็นออปชันมาตรฐานตั้งแต่นรุ่นเริ่มต้นจนถึงรุ่นท็อปสุด ในรุ่น HYBRID X และ HYBRID X Turbo ติดตั้งออปชันใหม่ทั้ง ไฟตัดหมอกหน้า LED เพิ่มกรอบโครเมียมและที่เปิดประตูโครเมียม กระจกรถรอบคันเพิ่มระบบกระจกตัดแสง UV & IR ระดับพรีเมียม 360 องศา บนหน้าเดิมทั้งกระจังหน้าโครเมียมทรงแนวนอนรับกับชุดกันชนหน้าพร้อมการ์ดในตัว ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว คิ้วขอบล้อสีดำ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรงสปูน บริเวณเสา C และ D เพิ่มกระจกโอเปร่าและไฟท้ายขอบเลนส์ใสสีขาวแดงแนวตั้งดูหรูหรามีระดับเพิ่มการมองที่ชัดเจน
มินิคาร์ทรงกล่อง 5 ประตู ภายใต้รหัส MR52S/MR92Sใหญ่ทั้งคันตั้งแต่ความยาว 3,395 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,475 มิลลิเมตร ความสูง 1,680 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,460 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 180 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 810-880 กิโลกรัมและความจุถังน้ำมัน 27 ลิตร
ภายในปรับใหม่เริ่มที่รุ่น Tough Wild ตกแต่งด้วยโทนสีดำเข้มเริ่มที่เบาะนั่ง แผงประตู หุ้มผ้ากำมะหยี่แบบพิเศษสามารถกันน้ำได้ และคอนโซลหน้าตกแต่งดำเข้มด้าน ทางด้านรุ่นปกติทั้งรุ่น HYBRID X และ HYBRID X Turbo เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์สลับกับผ้าสีเทาเข้ม แผงประตูหุ้มหนัง และแผงคอนโซลหน้าสีดำมุกเข้มโดนใจ ส่วนรุ่น HYBRID G และ HYBRID G Turbo โดดเด่นด้วยขอบตกแต่งคอนโซลหน้า 3 จุด และเบาะนั่งกึ่งผ้ากึ่งหนังสังเคราะขอบเบาะตกแต่งด้วยสีครีม
นอกจากนี้ทุกรุ่นเพิ่มช่องใส่ของหลังเบาะ พร้อมถาดอเนกประสงค์ 2 ฝั่ง ช่องจ่ายไฟ USB ปลั๊กไฟ (Type-A/Type-C) ไฟภายในห้องโดยสารแบบ LED (หน้า/หลัง)คอนโซลหน้าที่งานนี้แบ่งสัดส่วนการใช้งานง่ายขึ้นถึง 3 โซนด้วยออปชันหลากหลายทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอ MID แสดงข้อมูลตัวรถขนาด 4.2 นิ้ว เครื่องเสียงแบบจอสัมผัส 9 นิ้ว แสดงการทำงานทั้งระบบนำทาง วิทยุ และเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมเทคโนโลยีฟอกอากาศ nanoe™ X
ขุมพลังเดิมกับเบนซิน 3 สูบ 660 ซีซี. มี 2 ทางเลือกเริ่มที่พลังเทอร์โบ รหัส R06A ให้กำลังมากสุด 64 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 98 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที และเบนซินธรรมดา รหัส R06D 49 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 58 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบหัวฉีดคู่ และ cooled EGR ทั้ง 2 ขนาดจับคู่กับระบบ Mild Hybtid ด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้า ISG (Integrates Starter Generator) รุ่น WA05A ให้กำลัง 3.1 แรงม้าที่ 1,000 รอบต่อนาที แรงบิด 50 นิวตันเมตรที่ 100 รอบต่อนาที สำหรับเบนซินเทอร์โบ และรุ่น WA04C ให้กำลัง 2.6 แรงม้าที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิด 40 นิวตันเมตรที่ 100 รอบต่อนาที สำหรับเบนซิน
ระบบ Mild Hybrid เข้ามาเสริมการทำงานโดยเข้าการทำงานในส่วนต่างๆเพื่อเก็บพลังงานที่เหลือจากการขับขี่มาใช้งานให้เป็นประโยชน์เช่นนำแรงเฉี่อย ขณะถอนคันเร่งหรือเบรกมาปั่นเป็นกระแสไฟฟ้ากักเก็บไว้ใช้งานในแบตเตอร์รี่ และทำงานร่วมกับระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติในการขับขี่ เพิ่มความประหยัดให้มากขึ้น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ปรับปรุงสายพานและปั้มน้ำมันเกียร์ถึง 2 ตัว ให้การทำงานของแต่ละช่วงเกียร์ราบรื่นไม่กระตุกเลือกได้ทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ ควบคุมการขับขี่ได้ถึง 4 โหมดทั้ง โหมดSNOW โหมด Power โหมด Grip Control และโหมดควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent
ระบบความปลอดภัย Suzuki Safety support มีให้ครบครันทั้งระบบกล้องแสดงภาพรอบคันแบบ 3 มิติ 3D view กล้อง Dual Camera Brake Support ตรวจจับป้ายกับคนเดินถนนในยามค่ำคืนและควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) ในรุ่น Turbo ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Prevention (LDP) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW) อ่านป้ายจราจร Sign Recognition ปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist เป็นต้น
Suzuki Hustler MY2024 ในรุ่น Tough Wild มาพร้อมสีทูโทนหลังคาดำ 3 สี และสีโมโนโทน 3 สี ส่วนรุ่นปกติ มาพร้อมสีใหม่ทั้ง สีส้มหลังคาขาว Vermilion Orange Soft Beige Two-tone สีเหลืองหลังคาดำ Active Yellow Gunmetallic Two-tone รวมถึงสีโมโนโทนใหม่ สีครีมอ่อน Soft Beige Metallic ทำให้กลุ่มสีตัวถังมีทั้งหมด 11 รูปแบบ
สำหรับรุ่น Tough Wild เริ่มต้น 1,760,000 – 1,970,000 yen หรือราว 415,000 – 463,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้าของเมืองไทย)และถ้านำเข้ามาขายที่ไทยราคารวมภาษีนำเข้าอยู่ที่ 1,195,000-1,334,000 บาท และรุ่นปกติ 4 เกรด ตั้งแต่รุ่น Hybrid G, Hybrid X, Hybrid G Turbo และ Hybrid X Turbo เริ่มต้น 1,518,000 – 1,884,300 yen หรือราว 359,000 – 444,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้าของเมืองไทย) แตถ้านำเข้ามาขายในไทยราคาอยู่ที่ 1,034,000 – 1,279,000 บาท
ที่มา Carwatch