เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Toyota Alphard และ Toyota Vellfire ลักชัวรีแวนเจเนอเรชันที่ 4 เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่ไม่ได้มีการปรับโมเดลใหม่
จากความสำเร็จจากเจเนอเรชันที่ 3 ก็พิสูจน์ทั้งความเชื่อมั่นที่มีต่อลูกค้าชาวญี่ปุ่นและบางประเทศที่จำหน่ายซึ่งรวมถึงเมืองไทย นำพื้นฐานจาก Lexus LM เจเนอเรชันที่สองปรับสไตล์เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่กระจังหน้าโครเมียมพร้อมโลโก้สามห่วงครั้งแรกที่นำมาใช้ใน Alphard พร้อมไฟหน้าแบบ LED 3 ดวง พร้อมไฟ Daytime Running Lights ไฟเลี้ยวหน้า-หลังแบบ Sequential กระจังหน้าดีไซน์แนวนอน 6 ชั้นกับชุดกันชนหน้า ดีไซน์ใครดีไซน์มัน และกันชนหลัง และมีไฟตัดหมอกหน้า LED
ด้านข้างมีเอกลักษณ์ด้วย สัญลักษณ์ตัวอักษร Alphard/ Vellfire และตราโลโก้เฉพาะทั้งสองรุ่น บริเวณประตูคู่หน้าตรงเสา B เสริมคิ้วโครเมียมเด่นทั้งกรอบกระจกทุกส่วน พร้อมกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ทรงสปูน พร้อมที่เปิดประตูโครเมียมแบบดึงก้านออกแบบหลุมก้านเปิดประตูให้เรียบเนียนกับตัวถัง ล้ออัลลอยมีให้เลือกถึง 3 ขนาดตั้งแต่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/65R17 ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/60R18 และใหญ่สุด 19 นิ้ว พร้อมยาง 225/55R19
ด้านท้ายยังดูดีกว่าเดิมด้วยชุดแผงป้ายทะเบียนติดตรา Alphard และ Vellfire ที่ออกแบบเว้นช่องว่าของตัวอักษรให้สวยงาม ข้างบนของชุดแผงป้ายทะเบียนติดตราสามห่วงไว้ สองฝั่งประดับด้วยไฟท้าย LED แบบเป็นเกล็ดเสริมขอบโครเมียมไว้กรอบไฟท้าย ส่วนรุ่น Vellifre มาพร้อมไฟท้าย LED รูปตัว U พร้อมกรอบโครเมียมเล็ก ประตูสไลด์ และฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า หลังคามูนรูฟ 2 บานตรงกลางซ้าย-ขวา ครั้งนี้สร้างบนพื้นฐาน TNGA (GA-K) ใหญ่ขึ้นทุกมิติตั้งแต่ความยาว 4,995 มม. ความกว้าง 1,850 มม. ความสูง 1,945 มม. ฐานล้อ 3,000 มม.
ภายในอลังการกับงานออกแบบเริ่มที่ชุดแผงคอนโซลหน้าที่ไปคล้ายกับ Lexus LM มีจอสัมผัสขนาดใหญ่ตั้งแต่ 9.8 กับ 14 นิ้วรองรับการเชื่อมต่อผ่านแอป T-Connect เชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Andorid Auto ถัดลงมาเป็นปุ่มการทำงานของจอสัมผัสและเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ พร้อมมาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้ว และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านออกแบบใหม่ มีจอแสดงข้อมูลการขับขี่เหนือแผงคอนโซลหน้า Head-Up Display
รวมถึงชุดเบาะนั่ง VIP Captain Seat ดีไซน์หรูโอบกระชับกว่าเดิม มีจอการทำงานดีไซน์คล้ายกับสมาร์ตโฟนขนาด 5.5 นิ้ว ติดเบาะนั่ง VIP ซ้าย-ขวา สำหรับการปรับเบาะและควบคุมระบบความบันเทิงกับแอร์ได้ พร้อมไฟสร้างบรรยากาศแบบ LED 64 สีบนหลังคา และ ลำโพงคุณภาพพรีเมียม JBL 15 จุด และลำโพงมาตรฐาน 8 กับ 10 จุดให้เลือก ช่องชาร์จแบบเสียบสายผ่าน USB-C ทั้ง 2 จุด
ขุมพลังที่มีทั้งแบนซินล้วนและเบนซิน Hybrid เป็นเครื่องใหม่ Dynamic Force Turbo ขนาด 2.4 ลิตร T24A-FTS ให้กำลังถึง 279 แรงม้า 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 1,700-3,600 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ Direct Shift (มาแทนรุ่น 3.5 V6 2GR-FKS Direct Injection Chain Drive VVT-iW & D-4S 296 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 361 นิวตันเมตรที่ 4,600 – 4,700 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Direct Shift) เลือกได้ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ
พร้อม HEV-Hybrid เบนซินใหม่ Dynamic Force A25A-FXS 2.5 ลิตร ให้กำลังถึง 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 236 นิวตันเมตร ที่ 4,300-4,500 รอบ/นาทีในภาคเครื่องยนต์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าแบบ 5NM ให้กำลัง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าหลังแบบ 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตรและแบตเตอรี่ Hybrid แบบ Nickel-Metal ทำงานร่วมกันได้กำลังสูงถึง 250 แรงม้าแรงบิด 315 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อม Manual Mode 6 สปีด มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Fourและขับเคลื่อนสองล้อหน้า
และยังมีเบนซินยอดนิยมยกมาจาก Alphard/Vellfire เจนที่ 3 กับขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-I 2AR-FE 182 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาทีแรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด Sequential Shift มาประจำการด้วยเลือกได้ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ
พร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังอิสระ Double Wishbone เสริมเหล็กกันโคลงและตัวค้ำโช้คเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนเสริมด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าและระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ทั้ง เตือนการชนด้านหน้า Pre-Collision System (PCS) สามารถทำงานตอนกลางคืนและเบรกขณะข้ามแยกได้ควบคุมความเร็วและระยะห่างหน้ารถแบบทุกย่านความเร็ว All-Speed Dynamic Radar Cruise Control (DRCC) พร้อมหยุดและเคลื่อนรถอัตโนมัติ เตือนรถออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยช่วย Lane Departure Alert (LDA)
ช่วยให้รถอยู่ตรงกลางแม้ไม่มีเส้นจราจร LTA (Lane Tracing Control) ช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ Lane Change Assist (LCA) เปิด-ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam (AHB)พร้อมไฟสูงปรับการกระจายแสงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam System (AHS) อ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition (TSR) เตือนเมื่อรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า Traffic Movement Notification (TMN) หักเลี้ยวสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ PDA (Proactive Driving Assist) ช่วยลดความเร็วขณะเข้าโค้ง Curve Speed Reduction (CSR) เตือนมุมอับด้านหน้า FCTA (Front Cross Traffic Alert) เตือนรถด้านข้าง Blind Spot Monitoring (BSM) เตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) และเตือนขณะออกจากรถ Safe Exit Assist (SEA)
ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Toyota Teammate ขณะจอดรถและขณะขับขี่บนทางหลวง กระจกมองหลังแสดงภาพจากกล้องด้านหลัง ล้างเลนส์กล้องจากการฉีดน้ำ เซนเซอร์รถอัจฉริยะสามารถเบรกอัตโนมัติเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง Intelligent Clearance Sonar และถุงลมนิรภัยรอบคัน
Toyota Alphard และ Toyota Vellfire มีเกรดความหรูตั้งแต่รุ่น Executive Lounge, Z Premier, Z ในราคาเริ่มต้น 5,400,000 – 8,720,000 yen สำหรับ Alphard หรือราว 1,329,000- 2,145,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้ารวมราคาไทยจะอยู่ที่ 2,835,000-4,575,000 บาท และราคา 6,550,000-8,920,000 yen สำหรับ Vellfire หรือราว 1,609,000-2,195,000 บาท ซึ่งเป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้ารวมจะอยู่ที่ 3,429,000-4,679,000 บาท
และอาจขยายตลาดไปยังออสเตรเลีย นิวซีแลนด์เช่นเดียวกับ Lexus LM ส่วนเมืองไทยเปิดตัวแน่นอนแต่ว่าใครจะเปิดก่อนระหว่าง Toyota หรือ เกรย์มารเก็ต และเสริมทัพด้วยรุ่น Plug In Hybrid ออกมาในอนาคต ผลิตที่โรงงานในเมือง Inabe ของ Toyota Auto Body
ที่มา Toyota