More

    ข้อควรทำ ดูแลรถยนต์หลังน้ำท่วม วางแผนดูแลระยะยาวอย่างไม่ประมาท

    จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ ในหลายจังหวัดภาคใต้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง หนึ่งในทรัพย์สินที่ได้รับผลกระทบจนเสียหายหนักคือ รถยนต์ ซึ่งคาดว่ามีการเสียหายมากกว่า 1,000 คัน หากระดับน้ำลดลงแล้ว เจ้าของรถต้องมีวิธี ดูแลรถยนต์หลังน้ำท่วม ควรเร่งตรวจสอบและฟื้นฟูรถของตัวเองให้กลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย

    ดูแลรถยนต์หลังน้ำท่วม ทำได้ยังไง? วันนี้ Car2Day ได้รวบรวมขั้นตอนสำคัญในการดูแลรถหลังน้ำท่วม ที่ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มโอกาสซ่อมแซมได้ตรงจุด และป้องกันปัญหาระยะยาว โดยสามารถทำได้ดังนี้

     

    ดูแลรถยนต์หลังน้ำท่วม
    1.ประเมินอาการและสำรวจความเสียหาย

    ดูแลรถยนต์หลังจากน้ำท่วม สิ่งแรกที่ต้องทำคือการประเมินอาการเบื้องต้นและสำรวจความเสียหายของรถในทุกจุด ตรวจสอบว่ามีน้ำเข้าสู่ห้องโดยสาร ห้องเครื่อง หรือใต้ท้องรถหรือไม่ พร้อมถ่ายภาพเก็บเป็นหลักฐานสำหรับประกันภัยหรือศูนย์บริการในภายหลัง
    ที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะการพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ อาจมีผลต่อระบบไฟฟ้า ทำให้เกิดการลัดวงจรหรือเสียหายกว่าเดิม ก่อนส่งซ่อมควรประเมินระดับน้ำที่ท่วมรถให้ชัดเจน เนื่องจากข้อมูลนี้จะช่วยให้ช่างผู้เชี่ยวชาญสามารถดูแลอาการและแก้ไขได้ตรงจุด โดยสามารถแบ่งระดับน้ำท่วมได้ดังนี้

    • ระดับน้ำ A – B : ท่วมบริเวณล้อ / ใต้ชายประตู
      เสี่ยงต่อเซนเซอร์ ABS ชิ้นส่วนใต้ท้องรถ ผ้าเบรก และช่วงล่างบางส่วน แต่น้ำอาจจะยังไม่เข้าสู่ห้องโดยสาร
    • ระดับน้ำ B – C : ท่วมถึงพื้นรถหรือใต้เบาะ
      มีโอกาสที่น้ำจะเข้าสู่ห้องโดยสารและอาจกระทบปลั๊กไฟหรือชุดสายไฟบริเวณพื้นรถ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบบางส่วน
    • ระดับน้ำ C – D : ท่วมถึงเบาะนั่งหรือคอนโซลล่าง
      ถือว่าเป็นระดับความเสียหายหนัก เพราะอาจมีการกระทบอุปกรณ์สำคัญ เช่น ชุดสายไฟหลัก กล่องฟิวส์ มอเตอร์แอร์ มอเตอร์เบาะ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายจุด ค่าซ่อมสูงและต้องตรวจละเอียดทุกระบบ
    • ระดับน้ำ D – E : สูงกว่าเครื่องยนต์หรือท่วมเต็มคอนโซล
      เป็นระดับรุนแรงที่สุด ส่งผลกระทบต่อระบบเครื่องยนต์ ชุดควบคุมทั้งหมด สายไฟหลัก เซนเซอร์ ระบบความปลอดภัย รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกส่วน

     

    2.ติดต่อประกันภัยรถยนต์

    ติดต่อบริษัทประกันภัยรถยนต์ทันที เพื่อแจ้งเหตุและตรวจสอบว่ากรมธรรม์ครอบคลุมความเสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำเรื่องขั้นตอนการเคลม การเคลื่อนย้ายรถ และเอกสารที่ต้องใช้ ช่วยลดความยุ่งยากและทำให้กระบวนการซ่อมมีความราบรื่นมากขึ้น

     

    3.ส่งรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่มาตรฐาน

    การส่งรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่มาตรฐานควรจะใช้บริการรถสไลด์หรือบริการยกรถเท่านั้น ห้ามเคลื่อนย้ายด้วยตัวเองโดยเด็ดขาดเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

     

    4.ตรวจเช็กและฟื้นฟูสภาพรถ

    เมื่อรถถูกส่งเข้าศูนย์บริการ ช่างผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินอาการอย่างละเอียดในทุกระบบ ตั้งแต่การถ่ายและเปลี่ยนของเหลวทั้งหมด เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำมันเฟืองท้าย ไปจนถึงการตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และจุดที่อาจมีความชื้นค้างอยู่ เพราะน้ำท่วมสามารถสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและเซนเซอร์ในหลายจุด
    ขั้นตอนเหล่านี้ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะด้าน ทั้งการทำความสะอาด ตรวจวัดค่าต่าง ๆ และเปลี่ยนอะไหล่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้รถกลับมาทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

     

    5.ตรวจสอบรถหลังซ่อมบำรุง

    เมื่อการส่งซ่อมเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าของรถควรตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนรับรถกลับ ตั้งแต่การสตาร์ทเครื่อง ตรวจสอบระบบต่าง ๆ ของรถ ฟังเสียงเครื่องยนต์ เช็กไฟเตือนบนหน้าปัด ทดลองเปิดแอร์ วิทยุ และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ จากนั้นควรทดลองขับเพื่อตรวจดูอาการผิดปกติ เช่น เสียงแปลก กลิ่นอับ การสั่นสะเทือน หรือระบบทำงานผิดปกติ หากพบอาการที่ไม่ปกติ ควรแจ้งช่างเพื่อให้ตรวจสอบและแก้ไขทันที หากไม่มีปัญหาก็สามารถรับรถกลับได้ตามปกติ แต่ควรหมั่นสังเกตอาการรถหลังซ่อมอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบต่าง ๆ กลับมาทำงานอย่างปกติ

     

    6.วางแผนดูแลระยะยาว

    หลังจากนำรับรถกลับมาใช้งานปกติ ควรวางแผนบำรุงรักษารถในระยะยาว เพราะแม้ว่ารถจะได้รับการซ่อมแซมแล้ว แต่รถยนต์ที่เคยถูกน้ำท่วมอาจมีปัญหาตามมาในภายหลัง ควรนำรถกลับเข้าตรวจเช็กตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า ชิ้นส่วนใต้ท้องรถ ยางขอบประตู และระบบแอร์ เพื่อให้รถกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

     

    สำหรับการตัดสินใจซ่อมรถที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนักควรพิจารณาอย่างรอบคอบ หากรถถูกน้ำท่วมในระดับหนักจนต้องซ่อมทั้งคัน เจ้าของรถควรปรึกษาศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมว่า การซ่อมคุ้มค่ากับการใช้งานต่อหรือไม่ เพราะบางครั้งค่าซ่อมบำรุงอาจสูงมากควรมองหาทางเลือกที่ดีที่สุด

    หากรถมีประกันโดยเฉพาะประกันชั้น 1 หรือประกันชั้น 2 บางประเภทที่มีการคุ้มครองรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม ควรตรวจสอบเงื่อนไขในกรมธรรม์ทันทีเพื่อใช้สิทธิ์เคลมได้ถูกต้อง ในกรณีที่มีการประเมินค่าซ่อมสูงกว่าทุนประกัน บางบริษัทอาจจะพิจารณาชดเชยเป็นเงิน 70–80% ของทุนประกันแทน

     

    สิ่งสำคัญคือเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ไม่ควรประมาทกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับรถยนต์ เพราะผลกระทบจากน้ำท่วมอาจจะยังไม่แสดงอาการทันที ดังนั้นการตรวจเช็ก ฟื้นฟู และซ่อมแซมอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคตได้มากกว่าที่คิด


    ขอบคุณข่าวสารจาก:thairath
    ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้ที่: car2day.com

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts