BYD ยอดขายพุ่ง ทะลุ 50,000 คัน! ในสหราชอาณาจักร ภายในเวลาเพียง 32 เดือน นับตั้งแต่เริ่มบุกตลาดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงอิทธิพลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแบรนด์ในยุโรปอย่างแท้จริง
ยอดขาย 50,000 คันในเวลา 977 วัน
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 BYD เริ่มบุกตลาดสหราชอาณาจักร (UK) พร้อมเปิดตัวรถรุ่นแรกคือ Atto 3 (Yuan Plus) รถไฟฟ้า SUV ขนาดกะทัดรัด โดยปัจจุบัน BYD ทำตลาดในสหราชอาณาจักรด้วยรถทั้งหมด 9 รุ่น แบ่งเป็นรถไฟฟ้าแบบ BEV 6 รุ่น และแบบปลั๊กอินไฮบริด PHEV อีก 3 รุ่น ซึ่ง BYD Dolphin Seagull (Dolphin Mini /Atto 1) เป็นรุ่นที่ราคาย่อมเยาที่สุด
ล่าสุดในวันที่ 16 พฤศจิกายน BYD เปิดเผยว่า มียอดขายสะสมของรถยนต์ไฟฟ้าในสหราชอาณาจักร ทะลุ 50,000 คัน โดยใช้เวลาในการบรรลุเป้าหมายเพียงแค่ 977 วัน
ปีแห่งการก้าวกระโดดของแบรนด์รถยนต์จีน
ในปี 2568 BYD ยอดขายพุ่ง ทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ เดือนมกราคม-เดือนตุลาคม ที่ผ่านมา โดยทำยอดขายถึง 39,103 คัน จากโชว์รูมประมาณ 100 แห่ง คิดเป็น 78.2% ของยอดขายทั้งหมดตั้งแต่ที่เริ่มทำตลาดในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ในเดือนตุลาผมที่ผ่านมา BBC ได้รายงานว่ายอดขายของ BYD ในเดือนกันยายนมีการขยับเพิ่มขึ้นถึง 880% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจุบันรถที่ทำยอดขายมากที่สุดในสหราชอาณาจักรของ BYD คือ Seal U DM-i รถยนต์ SUV ปลั๊กอินไฮบริด ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 33,315 ปอนด์ (ประมาณ …บาท) ขับเคลื่อนแบบไฮบริดผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ทำยอดขายได้มากกว่า 10,000 คันในเวลา 10 เดือน และกลายเป็น รถปลั๊กอินไฮบริดที่มียอดขายสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร
แผนยกระดับเตรียมรุกหนักกว่าเดิม
ในปีหน้า BYD วางแผนเตรียมนำ Denza B5 รถ SUV สายออฟโรดเข้ามาจำหน่ายในตลาดสหราชอาณาจักร รถรุ่นนี้มีขายในประเทศจีนโดยใช้ชื่อ Fang Cheng Bao Bao 5 และตั้งเป้าแข่งขันกับรถออฟโรดคลาสสิกของอังกฤษอย่าง Land Rover
ขณะที่ในปี 2027 BYD วางแผนเปิดตัว Yangwang รถไฟฟ้าหรูระดับไฮเอนด์ เข้าสู่ตลาดสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับรถหรูสัญชาติอังกฤษอย่าง Bentley และ Rolls-Royce
สถานการณ์ของ BYD ในสหราชอาณาจักรจากนี้จะยิ่งน่าจับตามองเป็นพิเศษ เพราะแบรนด์มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก ปั้นภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะผู้นำเทคโนโลยี EV ระดับโลก ซึ่งอาจส่งแรงสั่นสะเทือนต่อคู่แข่ง และบีบให้แบรนด์รถยนต์อื่นต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดมากกว่าเดิม
ที่มาจาก: carnewschina.com













