เกือบ 2 ปีแล้วที่ GWM TANK 300 ได้รับการตอบรับจากลูกค้าคนไทยแม้จะเป็นขุมพลัง HEV ที่บ่นกันว่าไม่ประหยัดเอาเสียเลยจนต้องลดราคาสู้คู่แข่ง
ประจวบเหมาะกับทางจีนได้พัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อเตรียมจำหน่ายจนออกมาเป็นรูปเป็นร่างแนะนำอย่างเป็นทางการโดยมาประจำการใน GWM TANK 300 Diesel รุ่นแรกทั้งในจีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และเมืองไทยโดยเปิดตัวและราคาที่งาน Bangkok Motor Show 2025 เรียกว่ากลายเป็นความหวังของค่ายกำแพงรายนี้ขึ้นมาทันที
และก่อนหน้าที่จะมาการเปิดราคาทาง GWM ได้จัดมีการทดสอบสมรรถนะของสายลุยสไตล์โมเดิร์น Premium BOXY ด้วยระยะทาง 150 กิโลเมตร กรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยา ด้วยรุ่นท็อปสุด GWM TANK 300 Diesel ULTRA 4WD
น้องเล็กทรงเหลี่ยมสไตล์โมเดิร์น มาพร้อมรูปทรงสง่างามให้อารมณ์ความเป็นเอสยูวีสายลุยแบบเอ็กซ์ตรีมเต็มขั้นเปี่ยมไปด้วยความสามารถในการผจญภัยในทุกเส้นทางอย่างแข็งแกร่งตามสไตล์ TANK รองรับการขับขี่ในหลากหลายสภาพถนน
ตั้งแต่กระจังหน้าขนาดใหญ่แนวนนอน 3 เส้น สีดำ Piano Black พร้อมโลโก้ TANK ไฟหน้า Intelligent LED ทรงกลมพร้อมไฟ LED Daytime คิ้วขอบล้อสีดำดุดันด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Continental Cross Contact RX แบบ HT ขนาด 265/65 R17 หลังคาซันรูฟแบบเปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้าและราวหลังคาเป็นออปชันเฉพาะในรุ่น ULTRA เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน
เสาอากาศ Shark Fin ที่เปิดประตู กระจกมองข้างตกแต่งสีเข้มทั้งหมดด้านท้ายดีไซน์ตั้งตรงพร้อมฝาท้ายขนาดใหญ่ห้อยยางอะไหล่ไว้ดูมีเอกลักษณ์ดีตามสไตล์ออฟโรดและไฟท้าย Vertical LED แนวตั้งในร่าง 5 ประตู ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์มออฟโรดอัจฉริยะที่ทรงประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลัง วางใจได้ และชาญฉลาด ใหญ่โตทุกมิติจากบนพื้นฐานแกร่งแชสซีส์ขั้นบันไดตั้งแต่
- ความยาว 4,760 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,930 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,903 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 224 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,280 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 78 ลิตร
ภายในหรูสไตล์ Premium off-road ที่ให้ความรู้สึกหรู ทันสมัย กว้างขวาง สะดวกสบาย และใส่ใจในทุกรายละเอียด แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ร่วมสมัยช่องแอร์ดีไซน์เดียวกับ Mercedes-Benz G-Class มาตรวัดความเร็วและรอบเครื่องยนต์แบบตัวเลข Full LCD 12.3 นิ้ว จอสัมผัส LCD ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เชื่อมต่อ พอร์ต USB ด้านหน้าและด้านหลังลำโพงคุณภาพรอบคัน 8 จุดจากค่าย Infinity
เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 และ Ionizer ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การชาร์จ Smart Phone สะดวกและรวดเร็ว ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง และช่องต่อ USB สำหรับกล้องบันทึกภาพ พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง (12V) และช่องจ่ายไฟสำรอง (220V) ในรุ่น ULTRAไฟสร้างบรรยากาศภายในมากถึง 64 สี Ambient light
นาฬิกาแบบเข็มคลาสสิกเพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสารได้อย่างลงตัว ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด ทำงานร่วมกับกุญแจ Smart Key และ Push Start เพิ่มความสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหากุญแจ กระจกมองหลังลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ที่ช่วยปรับความสว่างจากไฟหน้ารถที่ขับตามหลังในเวลากลางคืนโดยอัตโนมัติ
เบาะนั่งหุ้มหนัง NAPPA leather ตัดเย็บประณีต คู่หน้าปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 8 ทิศทางและคนนั่งปรับ 4 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat เพื่อความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงจากรถเบาะหลังตอนที่สองพับได้ 60/40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกของมากถึง 1,635 ลิตร เมื่อพับเบาะ
พร้อมการเชื่อมต่อและการควบคุมรถจากระยะทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน GWM ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายขั้นสุดให้กับผู้ขับขี่ทุกมิติ ได้แก่ ระบบตรวจสอบสถานะประตูและหน้าต่าง ระบบตรวจสอบสถานะระบบปรับอากาศ ระบบตรวจสอบระยะทางทั้งหมด ได้แก่ ระยะทางวิ่งคงเหลือและปริมาณน้ำมัน ตรวจสอบสถานะอุณหภูมิและแรงดันลมยาง ระบบช่วยเตือนเมื่อสถานะประตูและหน้าต่างห้องโดยสารผิดปกติ
ระบบช่วยเตือนเมื่อแบตเตอรี่ 12V ต่ำ ระบบช่วยเตือนเมื่อปริมาณน้ำมันต่ำ ระบบค้นหาตำแหน่งรถยนต์ ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ระบบล็อกและปลดล็อกประตู ระบบปิดกระจก ระบบเปิดและปิดระบบปรับอากาศ ตรวจสอบสถานะหลังคาซันรูฟ และระบบตรวจสอบสถานะเบาะระบายอากาศอีกด้วย
ขุมพลังที่ทาง GWM ภาคภูมิใจนำเสนอกับดีเซลเทอร์โบแปรผัน 2.4 ลิตร รหัส GW4D24 (E24D) ให้กำลังถึง 184 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 480 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาทีปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 192 กรัมต่อกิโลเมตร
สเปกของเครื่องยนต์นี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอิเล็กทรอนิกส์ Exhaust Gas Recirculation (ECR) และระบบปั้มน้ำมันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อยไอเสีย NOx
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด Electronic Shifter มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 ทำให้รถสามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part Time
จุดเด่นของคันนี้ที่ดีกว่าตอนรุ่น HEV นั่นคือน้ำหนักรถที่ลดลงกว่า 158 กิโลกรัมแบบไม่มีถ่านไฮบริดมากวนใจ ประการต่อมากับขุมพลังดีเซลที่ GWM พัฒนาเองผลที่ได้มาคือการตอบสนองที่ฉับไวแรงแบบสุขุมไม่กระโชกโฮกฮาก กดคันเร่งตอนออกตัวแอบไวไปนิดนึงจนถึงช่วง 80 พอความเร็ว 90-160 ขับเพลิน ขับสมูทสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือเพิ่มความเร็วได้ทันใจในทุกสถานการณ์
เครื่องยนต์เดินเรียบนิ่งเสียงแทบไม่มีเพราะทาง GWM ติดตั้งเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยม ออกแบบใหม่ของท่อไอเสีย เพลาลูกเบี้ยว ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อน้ำมันแรงดันสูง สายพาน Timing และ Balance Shaft ทำให้การขับขี่สบายอารมณ์เพลิดเพลินกับเสียงเพลง และการสนทนาระหว่างเดินทางได้อย่างดี
รอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมือนเดิมทำงานไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาทีแต่ละช่วงความเร็วมาแบบเร็วติดปีกตั้งแต่ 1,400 1,600, 1,700 และ 1,900 รอบต่อนาที ตามลำดับ
เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ลูกนี้ มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 สามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพถนน และสอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นออกไปยอมรับว่าเกียร์ลูกนี้เปลี่ยนเกียร์ได้ราบรื่นและสมูท โดยเลือกได้ทั้ง ECO ขับหลัง กับ Normal และถ้าต้องการความเร้าใจในการขับขี่ยังมีโหมด Sport สร้างกำลังสูงกว่านิดนึง
ตามข้อมูลโรงงานและ ECO Sticker สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโม ในเวลาเพียง 11 วินาที โดยอัตราการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 13.7 กิโลเมตรต่อลิตรในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ น้ำมันหนึ่งถังสามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลมากกว่า 1,000 กิโลเมตร แต่ด้วยการขับขี่ไปกลับ กรุงเทพฯ-อยุธยา 150 กิโลเมตร ผลอัตราสิ้นเปลืองจากหน้าจอมาตรวัดแจ้งมาว่าทำได้ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 8.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เรียกว่าประหยัดเกินหน้าเกินตารุ่น ULTRA 4WD HEV อย่างเห็นๆ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time พ่วงโหมดการขับขี่ 9 โหมด ได้แก่ โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) ขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ Normal, โหมดสปอร์ต Sport, โหมดประหยัด ECO และโหมดการขับขี่แบบออฟโรด 6 โหมด ได้แก่ โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตราทดเกียร์ต่ำ (4L) โหมดพื้นหิมะ, โหมดพื้นหิน, โหมดพื้นทราย, โหมดภูเขา, โหมดพื้นหลุมบ่อ และโหมดผู้เชี่ยวชาญ
มั่นใจในการลุยไม่ต้องกังวลว่าเป็นรถติดถ่านมันจะเป็นอุปสรรคในการตะลุยเส้นทาง พร้อมล็อกเฟืองขับด้านหลัง (Electric Differential Lock for rear axles) มีระบบ Off-road Cruise Control เพื่อควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อให้รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำและความเร็วคงที่ เหมาะสำหรับถนนที่มีสภาพซับซ้อน พร้อมโหมด crawl mode
ติดตั้งระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body transparent) ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบออฟโรดข้อดีของคันนี้อยู่ที่มี TANK Turn ช่วยกลับรถในพื้นที่แคบเมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้ ได้ใช้ในยามคับขัน
ช่วงล่างเป็นระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม ระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์ที่ให้ความนุ่มนวลออกดีดๆเด้งๆ แต่ยึดเกาะถนน ในยามขับขี่ทั่วๆไป เส้นทางออฟโรดให้ความมั่นใจปีนป่ายเกาะถนนดีด้วยปีนป่ายแบบชิวๆเพราะคันนี้มีมุมเงย หรือ approach angle 33 องศา และมุมจากหรือ departure angle 34 องศา
พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าปรับน้ำหนักของพวงมาลัยจากเบาไปหาหนักถึง 3 ระดับ Light, Comfort และ Sport ตามความต้องการของคนขับ ใช้งานทั่วๆไปเบาคล่องมือ พอใช้ความเร็วสูงมีน้ำหนักอยู่บ้าง ดิสก์เบรก 4 ล้อแบบมีครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อจังหวะเบรกจะมีแถมนิดๆ ต้องจับจังหวะดีๆนิดนึง ในการกะระยะการเบรกพร้อมยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่และความปลอดภัยมาเต็มรูปแบบทั้ง
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA)
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI)
- ฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (MEB)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า (FCW)
- สัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกรถกระทันหัน (ESS)
- เตือนตามเครื่องหมายจราจร (TSR)
- ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
- ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK)
- ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
- การแจ้งเตือนการขับรถเร็วเกินกำหนด
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW)
- ช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
- ช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
- ช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 (SCM)
- แจ้งเตือนการเปิดประตู (DOW)
เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด และเซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศาถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม ช่วยออกตัวบนทางชันและลงทางลาดชัน (HSA/HDC) ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) และจุดยึดเบาะสำหรับเด็กแบบ ISOFIX
เปิดตัวมาด้วยราคาเร้าใจเริ่มต้น 999,000-1,249,000 บาท จนมียอดจองในงานล้นหลามถึง 2,786 คัน จากยอดจองรวมของค่าย 4,959 คันติด 1 ใน 10 ยอดจองสูงสุดกลายเป็นพระเอกที่ช่วยให้สถานการณ์ของค่ายนี้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง
ด้วยความประหยัดกว่า HEV เงียบขึ้นสั่นสะเทือนน้อยลงสำหรับเสียงเครื่อง หน้าตาทรงกล่องสามารถอัพเกรดชุดแต่งเทียบเท่ารุ่นใหญ่ฟากเยอรมันอย่าง Mercedes-AMG G63 สบายรวมถึงใช้ยาง HT ที่เงียบขึ้น แต่ช่วงล่างที่ต้องไปปรับปรุงให้นุ่มและเฟิร์มเหมือนรุ่น ULTRA 2.4 2WD และเบาะหลังที่ไม่สามารถปรับเอนได้มากกว่านี้ แถมตำแหน่งชันเกินไปจนอึดอัด
แต่ด้วยการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1,000,000 กิโลเมตร (หรือ 8 ปี) พร้อมราคา 1,029,000-1,279,000 บาทที่ปรับขึ้นมาหลังจบงาน Motor Show มาเป็นเหยื่อล่อสามารถเรียกแขกที่สนใจเอสยูวีไซซ์คอมแพ็คและพีพีวีรุ่นเกรดกลางให้หันกลับมามองตัวลุยแดนมังกรประกอบไทย GWM TANK 300 DIESEL ULTRA 4WD (ราคา 1,279,000 บาท) อย่างเต็มรูปแบบ