มาตรฐานใหม่แห่งสุดยอดสมรรถนะซูเปอร์เอสยูวีเพื่อการขับขี่ที่เร้าใจของค่ายวัวโหดอย่าง Lamborghini เพิ่มทางเลือกกับ Lamborghini Urus Performante
Lamborghini Urus Performante ภายใต้รูปลักษณ์ที่สะท้อนถึงความหรูหราเหนือระดับของยานยนต์ Urus พร้อมสะกดทุกสายตาทั้งบนท้องถนน สนามแข่งขัน หรือแม้แต่บนเส้นทางสุดทรหด ซึ่งทำให้ Urus Performante คือมาตรฐานใหม่แห่งสุดยอดงานดีไซน์อันเปี่ยมพลัง ที่ผสานระบบวิศวกรรมยานยนต์ระดับซูเปอร์สปอร์ตไว้อย่างลงตัว
สะกดทุกสายตาตั้งแต่แรกเห็นด้วยดีไซน์แนวอากาศยานในทุกมุมมอง ด้วยงานออกแบบฝากระโปรงและแผงกันชนขนาดใหญ่ใช้รูปทรงที่เฉียบคมแถมยังเน้นการใช้วัสดุคอมโพสิตในการผลิต ทำให้เป็นรถยนต์รุ่นที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในสัดส่วนสูงที่สุดในรถยนต์เซกเมนต์เดียวกันผสานเข้ากับระบบอากาศพลศาสตร์ที่ปรับปรุงใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งสองด้านต่างช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะม่านอากาศบนแผงกันชนหน้ากับงานออกแบบแนวใหม่เพื่อมอบความสวยงามที่แตกต่าง รวมถึง ออกแบบเส้นสายบนฝากระโปรงให้ยาวต่อเนื่องลงมาถึงแผงกันชนหน้าดีไซน์ใหม่น้ำหนักเบาจากการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในส่วนต่าง ๆ และมาพร้อมช่องระบายลมวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สีเดียวกับตัวรถ โดยลูกค้าสามารถเลือกแบบโชว์วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ได้ ทั้งยังสามารถเลือกหลังคาเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ให้เหมือนกับยานยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่าง Huracán Performante และ Super Trofeo ได้ตามต้องการ
แผงกันชนหน้าและสปลิตเตอร์วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ถูกออกแบบให้มีเส้นสายใหม่ที่ดูดุดันกว่าเดิม ช่องดักอากาศสีดำด้านหน้าช่วยเสริมประสิทธิภาพการระบายความร้อนเครื่องยนต์พร้อมเพิ่มความดุดันแนวซูเปอร์สปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ม่านดักลมแบบใหม่นั้นทำให้อากาศไหลเข้าทางล้อหน้าได้มากขึ้น และผสานกับการออกแบบตรงช่องระบายลมบนฝากระโปรง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์พร้อมทำให้เครื่องยนต์เย็นลง ส่วนสปอยเลอร์ด้านหลังดีไซน์ใหม่ยังช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังของ Urus Performante ได้อีก 38%
ซุ้มล้อวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ สามารถจับคู่กับล้อน้ำหนักเบาขนาด 23 นิ้วหรือแบบมาตรฐาน 22 นิ้ว 10Jx22″ ET20 (front) 11,5Jx22″ ET14 (rear) พร้อมน็อตไทเทเนียมและยางประจำรถจาก PIRELLI PZERO 285/40 ZR22 (front) – 325/35 ZR22 (rear) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะต่อยอดจากยางรุ่น Pirelli P Zero Trofeo R ตระกูล Urus โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตยาง Pirelli แบบกึ่งสลิคเพื่อให้สอดคล้องกับคาแรกเตอร์ของรถเอสยูวีซึ่งเกิดจากการร่วมมือพัฒนากับลัมโบร์กินี ผลลัพธ์ของความร่วมมือครั้งนี้ทำให้ได้ยางที่ใช้งานได้แบบอเนกประสงค์ดีขึ้น แต่ยังคงมอบประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมทั้งบนพื้นผิวแห้งที่มีอุณหภูมิสูง และบนพื้นผิวเปียกที่มีอุณหภูมิต่ำ
แถมโหลดตัวรถให้ต่ำลงเพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่บึกบึนด้วยการออกแบบกันชนหน้าและหลังขนาดใหญ่ ซึ่งเพิ่มความยาวตัวรถ 25 มม. การออกแบบด้านหลังมีความสวยงามไม่แพ้ด้านหน้าด้วยสปอยเลอร์ขนาดใหญ่และการออกแบบฟินสปอยเลอร์หลังที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์นั้นได้แรงบันดาลใจจากรุ่น Aventador SVJ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกดให้ตัวรถและยังออกแบบสปริงใหม่ยังช่วยให้โครงแชสซีของ Performante ต่ำลงอีก 20 มม. และเพิ่มความกว้างฐานล้อขึ้นอีก 16 มม.
กันชนหลังและดิฟฟิวเซอร์ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมกับท่อไอเสียแบบ Akrapovic วัสดุไทเทเนียมน้ำหนักเบาเป็นมาตรฐาน ช่วยเพิ่มพลังเสียงที่กระหึ่มทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของลัมโบร์กินีซึ่งจะแตกต่างไปตามโหมดการขับขี่ที่เลือก ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ธีมสีทูโทนยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของ Performante ให้โดดเด่นขึ้น จากการทำชิ้นส่วนอื่น ๆ ให้มีสีแตกต่างจากตัวรถ ทั้งมือจับประตูสีดำ ช่องระบายลมคาร์บอนไฟเบอร์เคฟลาร์บนฝากระโปรงและสปอยเลอร์ลิปคาร์บอนไฟเบอร์เคฟลาร์ เป็นต้น
ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วย Alcantara สีดำ Nero Cosmus เป็นมาตรฐาน พร้อมงานเย็บเบาะนั่งหกเหลี่ยมในสไตล์ “Performante Trim” นอกจากนี้ยังเลือกออปชันเสริมได้จากธีมการตกแต่งด้วยหนังทั้งคัน และสีสันภายใน โดยสามารถเลือกสไตล์ “Performante Trim” ให้ครอบคลุมทั้งในส่วนประตู เส้นแนวหลังคา พนักพิง และผนังด้านหลังห้องโดยสาร รวมถึงโปรแกรมการตกแต่งเฉพาะแบบ Ad Personam ของลัมโบร์กินีที่มีตัวเลือกวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ผิวด้านเพื่อการตกแต่งภายใน มือจับประตูสีแดง และขอบประตูพร้อมโลโก้ Ad Personam สำหรับพวงมาลัย Alcantara และหนังสีดำตกแต่งในโทนสีดำด้านให้เข้ากับห้องโดยสารธีมอะลูมิเนียมชุบดำ สำหรับออปชัน “Dark Package” จะสามารถเลือกการตกแต่งโทนสีดำด้านให้ครอบคลุมรายละเอียดของห้องโดยสารส่วนอื่น ซึ่งรวมถึงส่วนก้านของแผงควบคุมกลาง TAMBURO ที่ควบคุมฟังก์ชั่นทั้งปุ่มเปิด/ปิดเครื่องและตัวเลือกโหมดการขับขี่ต่าง ๆ ส่วนการแสดงผลกราฟิก HMI เป็นแบบใหม่ที่ออกแบบสำหรับ Urus Performante โดยเฉพาะ
เครื่องยนต์ V8 Twin Turbo 4.0 ลิตร และท่อไอเสียแบบสปอร์ตน้ำหนักเบา ที่ดึงดูดทุกคู่สายตาและมอบประสบการณ์แห่งการพุ่งทะยานสุดเร้าใจทั้งในท้องถนนหรือแม้แต่บนเส้นทางหฤโหดด้วยการมอบกำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น 16 แรงม้า สูงสุดที่ 666 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที มีแรงบิด 850Nm ที่ความเร็วรอบ 2,300 – 2,400 รอบต่อนาที เหนือกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเซกเมนต์เดียวกันยังรวมถึงความเร็วสูงสุดที่ 306 กม./ชม.และลดน้ำหนักตัวเครื่องลงถึง 47 กก. ทำให้มีอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังเครื่องยนต์ดีที่สุดในคลาสที่ 3.2 กิโลกรัม/แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.3 วินาที และเบรกจากความเร็ว 100 กม./ชม. จนรถหยุดนิ่งได้ในระยะทางเพียง 32.9 เมตร พร้อมประสิทธิภาพการตอบสนอง การควบคุม และความเสถียรที่เหนือชั้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ โดยสามารถเพิ่มแรงกดรวมได้ 8% มีการเสริมแรงบิดด้วยการใช้เฟืองท้ายแบบใหม่ที่เพิ่มอัตราส่วนจาก 3.16 เป็น 3.4 ในระหว่างการขับขี่ และ 3.02 เป็น 3.33 เมื่อวิ่งลงทางลาดด้วยแรงเฉื่อย
ระบบบังคับเลี้ยว มอบสัมผัสใหม่แก่ผู้ขับให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับยานยนต์และท้องถนนมากขึ้นควบคุมตอบสนองฉับไวและฟีลแบบสปอร์ตอันเร้าใจในทุกจังหวะการควบคุมการคาลิเบรตการเลี้ยวล้อหน้าแบบใหม่ช่วยเพิ่มสัมผัสเชื่อมโยงกับพื้นถนนส่งผลให้การควบคุมแม่นยำและมอบการตอบสนองได้ทันที ระบบเลี้ยวล้อหลังที่ตอบสนองเร็วขึ้นเสริมกำลังจากเวกเตอร์แรงบิดของเฟืองท้าย ไม่ว่าจะใช้โหมดการขับขี่บนถนนหรือออฟโร้ด
โหมดการขับขี่ที่ถูกออกแบบใหม่สามารถเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ที่แตกต่างได้ในทุกวัน มีกันสี่โหมดตั้งแต่ โหมด STRADA, โหมด SPORT, โหมด CORSA และโหมดใหม่อย่าง RALLY ยกระดับการขับขี่แนวสปอร์ตที่สนุกสนานในแบบฉบับเอสยูวี และนำเสนออีกระดับของความตื่นเต้นเร้าใจในการวิ่งบนทางดิน โดยมีการเสริมสมรรถนะด้วยเหล็กกันโคลงและตัวซับแรง ซึ่งปรับปรุงให้สอดรับกับการทำงานของสปริงแม้วิ่งบนพื้นผิวขรุขระและหฤโหด สำหรับเมืองไทยจะมีโอกาสเข้ามาจำหน่ายหรือไม่นั้นต้องติดตาม