หลังจากเปิดราคาจำหน่าย MG4 อีวีในร่างเก๋งแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ไปได้ไม่นานล่าสุดพร้อมที่จะเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่รุ่นท็อปกับ MG4 ANXIM Edition

MG4 ANXIM Edition ใช้แบตเตอรี่ Semi-Solid-State ครั้งแรกในโลกยานยนต์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคในตลาดรถยนต์ขนาดเล็กและเป็นครั้งแรกที่เมืองจีน
ภายนอกทรงสปอร์ต
กระจังหน้าทรงทึบแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ (Active grille) ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL แบบ LED และไฟหน้า LED 3 ดวงเล็กในโคมทรงเรียบง่าย กันชนหน้าทรงสปอร์ตพร้อมช่องระบายอากาศแบ่ง 2 ฝั่งทรงสี่เหลี่ยมคางหมูคล้าย MG CYBERSTER ประดับด้วยคิ้วชายล่างสีดำใต้กันชนหน้า
ด้านข้างมาแบบเสา A ทรงตั้งพร้อมหลังคารถสีดำหรือสีเดียวกับตัวรถให้เลือก หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ หรือ เสาหลังคามาแบบสีขาวและสีเดียวกับตัวรถให้เลือก พอร์ตชาร์จอยู่ที่บังโคลนหน้าด้านซ้าย กระจกมองข้างทรงสปูน ที่เปิดประตูดึงก้าน
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 LED ไฟท้าย LED แนวยาวโดยไฟท้าย 2 ฝั่งมาในลายธงยูเนียนแจ็คแบบ LED กันชนหลังสีเดียวกับตัวรถ ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 205/50R17 สร้างจากแพลตฟอร์มไฟฟ้าล้วน SAIC’s E3 pure electric architecture platform ออกแบบมาโดยเฉพาะกับรถไฟฟ้าโดยมีมิติตัวรถตั้งแต่
- ความยาว 4,395 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,842 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,551 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,485 กิโลกรัม

ภายในร่วมกับ OPPO
ได้ OPPO มาร่วมดีไซน์ฟังก์ชันภายในส่วนระบบจอสัมผัสอินโฟเทนเมนต์อัจฉริยะแบบลอยตัว ขนาด 15.6 นิ้วความละเอียด 2.5K ขับเคลื่อนด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 8155 รองรับการเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์ม การสะท้อนหน้าจอมือถือไปยังหน้าจอสัมผัสหรือ Mirroring สั่งงานด้วยเสียง สั่งงานด้วยท่าทางหรือการใช้นิ้วสั่ง Gesture Based Navigation
ฟีเจอร์เพิ่มเติมประกอบด้วยการโต้ตอบด้วย AI เล่นแอปพลิเคชันมือถือผ่านหน้าจอสัมผัส และการผสานการทำงานแบบไร้สายกับ Apple CarPlay และ Android Auto ด้วยระบบ Smart Mobility ทำให้การเชื่อมต่อเป็นไปอย่างราบรื่น รองรับฟังก์ชันกุญแจดิจิทัล (Digital Key) รวมถึง การจอดรถระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-air (OTA)
พร้อมปุ่มการทำงานที่เหลือเพียง 5 ปุ่มใต้จอพร้อมช่องแอร์แนวนอน 2 ช่อง แท่นชาร์จไร้สาย 50 วัตต์พร้อมระบบระบายอากาศแบบแอคทีฟติดตั้งอยู่ภายในคอนโซลกลาง พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงห้วตัดท้ายตัด 2 ก้านมาพร้อมโทนสีภายใน 2 สีทั้งสีม่วง Rose Purple และ และสีน้ำเงิน Mountain Blue
ผสานเข้ากับพื้นผิวสัมผัสที่นุ่มนวล เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการออกแบบเรียกว่า “Swan Wing” มุ่งเน้นความสมดุลระหว่างความสง่างามทางสายตาและความเรียบง่าย พร้อมหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามามีม่านบังแดดในตัว

เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบโครงเบาะรองรับกับสรีรศาสตร์ที่ดีขึ้นพร้อมระบบระบายอากาศและระบบทำความร้อนโดยตัวเบาะมีความยาว 503 มิลลิเมตร ออกแบบที่วางเท้าของอุโมงค์วางเท้าสำหรับผู้ขับขี่มีมุมเหยียบแป้นแบน 46.4 องศา เพื่อลดแรงกดตอนเหยียบคันเร่งและเบรกในยามเดินทางไกล

พนักพิงเบาะนั่งใช้โครงสร้างแบบชิ้นเดียวเพื่อการรองรับสรีระ ปรับเอนได้สุด 27 องศาและยังพับแบบ 60/40 ได้ และช่องเก็บของมากถึง 30 จุด ด้านสัมภาระด้านท้ายมีความจุก่อนพับเบาะ 471 ลิตร และช่องเก็บของใต้พื้นสัมภาระด้านท้าย 98 ลิตร

จอมาตรวัดความเร็วสี TFT ลอยตัว พร้อมลำโพง 6 จุด ช่องเสียบ USB-C 2 จุดหน้า และ 1 จุดหลัง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมีกรองอากาศ PM 2.5 กระจกมองหลังตัดแสง กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start เบรกมือไฟฟ้า และ Auto Hold NVH LUXURY SILENCE SPACE เพิ่มฟิล์มกันเสียงและแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ระบบ Intelligent smart access

ขุมพลังเป็นไฟฟ้าล้วน
แบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยแบตเตอรี่ Semi-Solid-State ผลิตโดย Suzhou QingTao Power Technology Co., Ltd. ให้กำลัง 163 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร เป็นแบตเตอรี่ขนาด 53.95 kWh วิ่งไกลสุด 530 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 511 กิโลเมตร (NEDC) ชาร์จได้ทั้ง AC และ DC 30-80% ภายใน 21 นาที
Semi-Solid-State เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทำจากแมงกานีส โดยโครงสร้างแบตเตอรี่มาจากโลหะผสมอะลูมิเนียม-แรร์เอิร์ธ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารมากขึ้นและตัวถังมีความแข็งแรงสูง มีค่าความทนทานต่อการบิดตัวถึง 31,000 นิวตันเมตรต่อองศา
ผ่านมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 และ IP69K ผ่านการทดสอบความปลอดภัยขั้นสูงด้วยการเจาะทะลุ (needle penetration tests) โดยไม่มีการลุกไหม้หรือเกิดควัน เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในสภาวะอุณหภูมิต่ำเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้สูงขึ้น และยังมีรับประกันตลอดอายุการใช้งาน
พร้อมโหมดการขับขี่ 5 โหมดทั้งโหมด Snow, Economy, Standard, Sport และ Custom ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ กลาง สูง รองรับระบบ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสูงสุด 3.3 kW พร้อมคันเร่งแบบ One Pedal ช่วยให้ขับขี่ได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแบบแมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังทอชันบีม รองรับฟีเจอร์ช่วยเหลือการขับขี่ L2+ ด้วยเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา 4 ตัว กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล และกล้องหลัง ขับเคลื่อนด้วยชิป Horizon Journey J6e ซึ่งรวมถึงระบบนำทางบนทางหลวงด้วยระบบ Autopilot (NOA) ความเร็วสูงได้ MG4 ANXIM เปิดราคาขายจริงที่งาน Guangzhou Auto Show 2025 ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
ที่มา CarNewsChina










