ในที่สุด Nissan เลือกเมืองอบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดตัวสิงห์ทะเลทราย Nissan Patrol เจเนอเรชันที่ 7 ครั้งแรกของโลก
พร้อมกับการเปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาในชื่อ Nissan Armada ฝาแฝดเดียวกับ Nissan Patrol เจนใหม่รหัส Y63 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 14 ปีต่อจากรหัส Y62 เจนที่ 6
ภายนอก Exterior
เข้มด้วยกระจังหน้ารูปตัววี หรือ V-motion ไส้ในเป็นรังผึ้งแถบแนวนอน 2 เส้น โครเมียมพร้อมตรา Nissan เวอร์ชันใหม่มาพร้อมความทันสมัยไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED รูปตัว E-clamp ในโคมมีไฟหน้า LED พร้อมไฟเลี้ยว รับกับชุดกันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED โดยรวมออกแบบรถเอสยูวีแดนมะกัน
ด้านข้างพร้อมช่องระบายอากาศด้านข้างเด่นด้วยดีไซน์ช่องระบายอากาศด้านข้างตัวถัง Side Vent สองฝั่ง คิ้วขอบล้อสีดีไซน์กลมกลืน ที่เปิดประตูดีไซน์ดึงก้าน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED และไฟส่องพื้นใต้กระจกมองข้างกระจกสไตล์โอเปร่าโดยกระจกเสา C และ D ติดตราชื่อรุ่น Patrol บันไดข้าง ราวหลังคาดีไซน์เรียบเนียนกับหลังคารถสีดำ เสาอากาศครีบฉลาม
ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวรูปตัว U ครอบด้านท้ายอย่างสวยงามชวนให้นึกถึง Nissan Kicks เจนใหม่ที่พึ่งเปิดขายที่สหรัฐอเมริกานั่นเองทางด้านตัวรถรับกับกันชนหลังดีไซน์เข้มพร้อมลิ้นสปอยเลอร์หลังในตัว ล้ออัลลอยขนาดใหญ่สุด 22 นิ้วรัดด้วยยาง 305/45R22 และยังมีขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/70 R18 กับขนาด 20 นิ้ว 275/60R20
แน่นอนว่ามาจากพื้นฐาน INFINITI QX80 เป็นรถทรงกล่องแชสซีส์ขั้นบันไดหรือ Ladder-Frame เฟรมปรับปรุงใหม่ให้มีความแข็งแรงตามแรงบิดเพิ่มขึ้น 25% และความแข็งแรงด้านข้างเพิ่มขึ้น 57% โดยมีมิติตัวรถดังนี้
- ความยาว 5,350 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 2,030 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้าวง 2,350 มิลลิเมตร)
- ความสูง 1,945-1,955 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 3,075 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 244-253 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,680-2,813 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 97 ลิตร
ภายใน Interior
ภายในใหม่แบบ 3 แถว 8 ที่นั่ง 2+3+3 หุ้มหนังลายด้วยวัสดุหนังแท้เกรดคุณภาพปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางคู่หน้าพร้อมฟังก์ชันนวดโดยเบาะคู่หน้ามาแบบ Zero Gravity เบาะนั่ง เพื่อรองรับกับแนวกระดูกสันหลัง ตามหลักสรีรศาสตร์ เบาะนัั่งตอนที่ 2 พับอิสระแบบ 40/20/40 แบบ EZ Flex และ 50/50 ในตอนที่ 3 และยังปรับพื้นที่เก็บของด้านท้ายมากขึ้นกว่าเดิม 30%
พร้อมหนังสัมผัสบริเวณคอนโซลกลางกับแผงประตู ดีไซน์คอนโซลหน้าต่างจาก INFINITI QX80 ปรับเพื่อให้เป็นรถลุยและหรูในคันเดียวทั้งแผงคอนโซลหน้าติดตั้งหนังสัมผัสอย่างประณีตจอคู่รวม 28.6 นิ้วประกอบด้วยจอมาตรวัดความเร็วและจอสัมผัสขนาดใหญ่ฝั่งละ 14.3 นิ้ว ในส่วนระบบ NissanConnect 2.0 เวอร์ชันใหม่ ติดตั้ง Google ในตัว สามารถใช้ Google Maps, Google Play, Google Assistant เชื่อมต่อ Apple CarPlay Android Auto ไร้สาย และบริการเชื่อมต่อผ่านแอป My NISSAN พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มหนัง และจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า HUD
ถัดลงมาช่องแอร์แนวนอนมีปุ่ม Push Start และปุ่มการทำงานของระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์ตอนที่ 2 กับ 3 และมีสวิตช์ควบคุมทำงานร่วมกับเซนเซอร์อินฟาเรดไว้ตรวจจับอุณหภูมิภายในปรับได้อย่างอิสระและการไหลเวียนของอากาศเพื่อให้อากาศภายในสบายสดชื่น พร้อมช่องเสียบ USB Type C ให้มาทั้ง 3 แถว ที่ชาร์จมือถือไร้สาย
พร้อมลำโพงทั้งหมด 12 จุด จาก Klipsch พร้อมเทคโนโลยี DynamicAudioReveal™ ช่วยให้เสียงมีความนุ่มชัดเจนละเอียดปรับตามสภาพแวดล้อมภายในรถและระบบเสียง 3 มิติ DJX® 3D Surround ทำให้เพลิดเพลินในการฟังเพลงตลอดการเดินทาง
ยังมีจอหลัง 2 จอติดตั้งที่หลังเบาะคู่หน้าอินเทอร์เฟซขนาด 12.8 นิ้ว สามารถสตรีมเพลง วีดีโอ เล่นเกมผ่านอุปกรณ์ทั้ง Miracast, HDMI หรือการเชื่อมต่อ USB พร้อมไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 64 สี พร้อมกล้องบันทึกเหตุการณ์และหลังคารถพาโนรามิกซันรูฟ
สมรรถนะ Performance
แน่นอนว่ายกมาจาก INFINITI QX80 ด้วยขุมพลังเป็นเบนซินเทอร์โบคู่ V6 รหัส VR35DDTT ขนาด 3.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 431 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาทีและมีเบนซินไร้เทอร์โบ V6 รหัส VQ38DD ขนาด 3.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 386 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบต่อนาที
ทั้ง 2 ขนาดมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time พร้อม 4WD transfer mode interlock สามารถกระจายการทำงานไปยังล้อทั้ง 4 ควบคุมอย่างง่ายดายตามสภาพเส้นทางภูมิประเทศต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสลับโหมดต่างๆได้อย่างราบรื่นและรับมือกับเส้นทางท้าทายได้อย่างง่ายดาย พร้อมโหมดการขับขี่ 6 โหมดทั้ง Standard, Sand, Rock, Mud/Rut, Eco และ Sport ลุยน้ำได้สูงสุด 700 มิลลิเมตร สามารถลากจูงสูงสุด 3,500 กิโลกรัม
ลุยทุกเส้นทางกับช่วงล่างพื้นด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น และช่วงล่างหลังเลือกได้ทั้งแบบถุงลม Adaptive Air Suspension System ปรับตัวรถสูง-ต่ำได้ถึง 70 มิลลิเมตร และมีช่วงล่างหลังแบบคอยล์ปริงทั้ง 2 ช่วงล่างใช้โช้กอัพทั้งแบบแก็สและแบบไฟฟ้า 4 ต้น พร้อมเฟืองท้าย Rear Helical Limited Slip Differential และล็อกเฟืองท้าย REAR DIFFERENTIAL LOCK พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด จาก JATCO
ความปลอดภัย Safety
มาพร้อมระบบระบบขับขี่อัตโนมัติอัจฉริยะ ProPILOT 2.0 ช่วยลดความจุกจิกกวนใจในเรื่องการขับขี่บนทางหลวงที่ต้องมีการหยุดและชะลอตัวตลอดเวลา พร้อมความปลออดภัยหลากหลายทั้ง
- เตือนก่อนการชนด้านหน้า Predictive Forward Collision Warning
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติอัจฉริยะด้านหน้า Intelligent Emergency Braking with Pedestrian detection
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติอัจฉริยะ Rear Intelligent Emergency Braking
- เตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning
- เตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา เมื่อสัญญาณไฟเลี้ยวถูกเปิด และมีรถคันอื่นอยู่ในจุดอับสายตา ณ ช่องทางขับขี่ด้านข้าง Blind Spot Intervention
- เตือนออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ Lane Departure Prevention
- เตือนจุดอับสายตาขณะลากจูง Trailer Blind Spot Warning
- เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะพร้อมช่วยมองเห็นด้านหลังได้ชัดเจนขึ้น Intelligent Rear View Mirror with Rear Zoom View
- ล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control
- ไฟสูงแบบปรับระดับได้เอง Adaptive Driving Beam (ADB)
- กล้องมองภาพรอบคัน 3D Around View Monitor โดยเฉพาะกล้องด้านหน้ามองเห็นมุมกว้างมากถึง 170 องศา
Nissan Patrol เจนใหม่ตำนานสิงห์ทะเลทรายครองใจขาลุยมาถึง 73 ปี ขายกลุ่มตะวันออกกลางตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน ทางด้านกลุ่มประเทศโอชิเนียอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ขายช่วงครึ่งปีหลังปี 2026 ส่งมอบปี 2027 ในฐานะพวงมาลัยขวาที่แรกของโลก ทางด้านอเมริกามาในชื่อ Nissan Armada มาทั้งแบบรุ่นหรูและลุยอย่าง PRO4-X ขายช่วงปลายปีนี้