วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงฉบับใหม่ ปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศทันที ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านนโยบายภาษีน้ำมันของรัฐในรอบปี
เหตุผลของการปรับขึ้นภาษี
สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง รัฐบาลจึงเห็นโอกาสในการเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้รัฐ และรักษาเสถียรภาพทางการคลัง โดยไม่กระทบราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการน้ำมัน
รายละเอียดการปรับขึ้น
กระทรวงการคลังประกาศขึ้นภาษีน้ำมันลิตรละ 1 บาท คาดการณ์ว่าจะเพิ่มรายได้รัฐเดือนละประมาณ 2,900 ล้านบาท กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะรับภาระแทนในช่วงแรก ด้วยการลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนลงเท่ากับที่ปรับขึ้นภาษี
ผลกระทบต่อประชาชน
แม้ภาษีจะเพิ่มขึ้น แต่ ราคาขายปลีกน้ำมันยังคงเดิม เพราะกองทุนน้ำมันฯ ใช้มาตรการดูแลโดยตรง เพื่อไม่ให้ประชาชนแบกรับภาระค่าครองชีพเพิ่มในช่วงเศรษฐกิจยังเปราะบาง
ข้อมูลจาก กบน. (คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง)
-
ปรับลดการส่งเงินเข้ากองทุนวันละประมาณ 49.57 ล้านบาท
-
จากเดิมวันละ 393.97 ล้านบาท เหลือวันละ 344.40 ล้านบาท
-
สถานะกองทุนล่าสุด (4 พ.ค. 68): ติดลบรวม 47,779 ล้านบาท
อัตราภาษีเดิม (ก่อนปรับขึ้น)
-
เบนซินไร้สารตะกั่ว: 6.50 บาท/ลิตร
-
แก๊สโซฮอล์ E10: 5.85 บาท/ลิตร
-
แก๊สโซฮอล์ E20: 5.20 บาท/ลิตร
-
E85: 0.975 บาท/ลิตร
-
ดีเซลทั่วไป: 6.44 บาท/ลิตร
แนวโน้มในอนาคต
หากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกพลิกผันจนกระทบเสถียรภาพในประเทศ กบน. ระบุว่าอาจเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับลดภาษีอีกครั้ง เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกให้อยู่ในระดับเหมาะสม
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ