ช่วงนี้ฝนขยันตกหนักมาก น้ำท่วมหลายพื้นที่มาก ในช่วงเวลากำลังไปทำงานหรือเลิกงาน ฝนมันมาตรงเวลาทุกวัน หลายคนเบื่อกับรถติด แต่ที่น่าเบื่อที่สุดคือน้ำท่วมสูง จนทำให้รถดับกลางทาง อันนี้อาการสาหัสมาก สำหรับผู้ที่ประสบเหตุน้ำท่วม อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือต้องตั้งสติแล้วคิดต่อว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปกับรถของเราดี บทความนี้ทีมงาน Car2day เราจึงนำวิธีรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมรถมาฝากกันดูค่ะ
ขับอย่างไรให้เสียหายน้อยมากที่สุด
- 1.ปิดแอร์รถยนต์ เมื่อต้องขับรถลุยน้ำ ไม่ควรเปิดแอร์รถยนต์ เนื่องจากพัดลมแอร์จะพัดน้ำเข้าห้องเครื่องจนอาจทำให้เกิดการช็อตในห้องไฟฟ้า ส่งผลให้รถดับได้2.ขับรถด้วยความเร็วต่ำ ควรใช้ความเร็วต่ำ เพื่อประคองไม่ให้รถดับ โดยใช้ความเร็วคงที่ รักษารอบเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 1,500 – 2,000 รอบต่อนาที สำหรับเกียร์ธรรมดา ควรใช้เกียร์ 1 หรือ 2 หากเป็นเกียร์ออโต้ ควรใช้เกียร์ L3.เลี้ยงคลัตซ์ไว้ (สำหรับรถเกียร์ธรรมดา) สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ควรเลี้ยงคลัตช์ไว้และเร่งเครื่องยนต์ให้เดินสูงกว่าปกติ เพื่อไม่ให้รถดับ และป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าห้องเครื่อง
4.ลดความเร็ว เมื่อขับสวนทาง หากไม่ลดความเร็ว คลื่นน้ำจากรถทั้งสองคันที่ขับสวนกันจะเกิดการปะทะกัน ทำให้ระดับน้ำสูงกว่าเดิม จนอาจเข้าห้องเครื่องได้หรือภายในห้องโดยสารได้
5.รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า เมื่อรถคุณอยู่ในน้ำนาน ๆ ระบบเบรกจะมีประสิทธิภาพต่ำลง ส่งผลให้เบรกไม่ค่อยอยู่ ดังนั้นควรรักษาระยะห่างไว้เพื่อไม่ให้เกิดการชนท้าย โดยหลังจากขับรถผ่านน้ำมาแล้ว ควรขับให้ช้าลงและเหยียบเบรกเป็นระยะ ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรก
6.อย่ารีบดับเครื่อง เมื่อขับรถถึงจุดหมายแล้ว เมื่อขับรถถึงจุดหมาย อย่าเพิ่งดับเครื่องยนต์ในทันที ควรติดเครื่องยนต์เอาไว้ก่อน เพื่อไล่ความชื้นที่อยู่ในห้องเครื่องออก หากคุณดับเครื่องยนต์เลย น้ำที่ยังค้างอยู่อาจไหลเข้าท่อได้
สิ่งจำเป็นที่ต้องตรวจเช็กหลังขับผ่านถนนน้ำท่วมสูงและรถโดนน้ำท่วม
- ระบบไฟฟ้าและกล่อง ECU อย่างที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่า ระบบไฟฟ้ากับความชื้นเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อรถผ่านการขับลุยน้ำมาอุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการดูแลโดยการไล่ความชื้นในระบบ เรามีข้อแนะนำว่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลเท่านั้น นอกจากนี้รถรุ่นใหม่ ๆ ที่มีระบบเทคโนโลยีเยอะย่อมมีกล่อง ECU เยอะเช่นกันแนะนำให้เข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการเพื่อความชัวร์
- เครื่องยนต์และเกียร์ ในการลุยน้ำที่มีความลึกค่อนข้างมาก สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือน้ำเข้ากรองอากาศ เพราะถ้าเกิดน้ำเข้าไปเราบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ต้องถอดประกอบเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมดเพื่อทำความสะอาด ซึ่งอาจจะรวมถึงชุด “หัวเทียน” ที่จะเสื่อมสภาพจากสภาวะความชื้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ต้องเช็กน้ำมันเกียร์ว่าสีเปลี่ยนไปไหม ถ้าเปลี่ยนไปอาจเป็นไปได้ว่าน้ำซึมเข้าไปอย่างแน่นอน ต้องถ่ายเปลี่ยนออก ส่วนพวกเซนเซอร์เครื่องยนต์ต่าง ๆ ก็ต้องเช็กใหม่ทั้งหมดด้วยเพื่อป้องกันการอ่านค่าที่ผิดเพี้ยน
- ตรวจเช็กภายในรถ การที่เราขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมสูงกว่าขอบประตูด้านล่างหรือมีการหยุดนิ่งเป็นเวลานานในพื้นที่น้ำท่วม เราควรตวรเช็กพื้นที่ด้านในรถว่ามีน้ำเข้าหรือไม่ ใครที่ชะล่าใจว่ารถสามารถลุยน้ำได้ถึง 40 เซนติเมตร เพราะเลขเคลมจากค่ายผู้ผลิต บอกตรง ๆ เลยว่านั่นคือตัวเลขขับรถลุยผ่านไม่ใช่จอดนิ่งๆ (แต่ถ้าจอดหยุดนิ่งนาน ๆ น้ำเข้ารถแน่นอน) เพราะยางกันน้ำรอบรถสามารถกันน้ำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อขับรถลุยน้ำทุกครั้งให้เปิดผ้ายางออกเช็กพื้นพรมดูดี ๆ ว่าเปียกชื้นหรือไม่ เพราะถ้าลุยน้ำสูงก็จะมีโอกาสที่น้ำจะซึมเข้ามาได้ ถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ให้เข้าร้านทำความสะอาดโดยทันที เพื่อป้องกันราและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการอับชื้น
ในช่วงพายุฤดูฝนถล่มบ้านเราแบบนี้ สำหรับคนรักรถและจำเป็นต้องใช้รถ ยิ่งต้องดูแลมากขึ้นเป็นพิเศษ อย่าปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหายหนัก ก่อนออกจากบ้านอย่างน้อยก็ควรเช็กพยากรณ์อากาศ หรือเช็กเส้นทางดูให้แน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมกันดูนะครับ
บทความอื่น ๆ