โดยปกติแล้วนักขับฟอร์มูล่าวันที่หลุดจากเก้าอี้และไม่ได้ไปต่อมักจะไม่สามารถกลับมาแข่ง F1 ได้อีก แต่นั่นไม่ใช่กรณีของ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน นักแข่งลูกครึ่งไทยซึ่งได้กลับเข้าวงการอีกครั้งในปี 2022
เอาล่ะ… มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ในเมื่อโอกาสครั้งที่ 2 ได้ถูกหยิบยื่นมาให้ถึงมือของอัลบอน เราลองกลับมาวิเคราะห์ดูว่า เขาจะต้องทำภารกิจอะไรบ้างในครั้งนี้ถึงจะบรรลุเป้าหมายในการขับแข่ง F1 ไปนานๆ
ในปีนี้นักแข่งลูกครึ่งไทยได้ออกจากใต้ปีกของเรดบูลล์ ค่ายที่ดันเขาขึ้นมาแข่งใน F1 เมื่อปี 2019 โดยมันเป็นเงื่อนไขที่วิลเลียมส์ ต้นสังกัดที่เซ็นเขาเข้าทีมมา และเมอร์เซเดส ซึ่งป้อนเครื่องยนต์ให้กับวิลเลียมส์ ตั้งเอาไว้ เนื่องจากเรดบูลล์และเมอร์เซเดสถือว่าเป็นคู่แข่งกันโดยตรง และการที่นักขับในสังกัดคู่แข่งเข้ามาร่วมทีม มันมีโอกาสที่เขาจะได้ศึกษาข้อมูลและล่วงรู้ถึงความลับหลายๆ อย่าง เมื่อเรดบูลล์ยอมถอยหนึ่งก้าวโดยการยอมปล่อยตัวอัลบอนออกจากโปรแกรม (แต่ยังคงไว้ซึ่งข้อยกเว้นที่สามารถดึงตัวอัลบอนกลับได้) เมอร์เซเดสจึงไม่ขัดขวางในการที่อัลบอนจะเข้าทีมวิลเลียมส์ ซึ่งวิลเลียมส์นั้นแสดงเจตจำนงในความต้องการตัวอัลบอนอย่างชัดเจน
ทำไมวิลเลียมส์ถึงอยากได้ตัวอัลบอนขนาดนั้น? จริงๆ แล้วมันก็มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ แต่ต้นสายปลายเหตุนั้นมาจากการที่พวกเขาต้องเสีย จอร์จ รัสเซล นักแข่งมากฝีมือในทีมไปให้กับเมอร์เซเดส ดังนั้นวิลเลียมส์จึงต้องมองหานักขับที่สามารถเข้ามาอุดช่องว่างที่เสียรัสเซลไปให้ได้ โดยเฉพาะในแง่ของฝีมือการขับ
เมื่อพูดถึงฝีมือของอัลบอน ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไมได้มีฝีมือในระดับโดดเด่นแบบ จอร์จ รัสเซล, ชาร์ล เลอแคลร์ หรือแม้กระทั่ง แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น เพื่อนร่วมทีมของเขาในปี 2020-21 แต่ก็ไม่ใช่ว่าอัลบอนจะมีฝีมือแย่ไปเสียทีเดียว เขานั้นมีดีพออย่างแน่นอนในการเอาตัวรอดใน F1 เพียงแต่ว่าเขาต้องการเวลาในการปรับตัวเพื่อเค้นสมรรถนะซึ่งเป็นสิ่งที่เรดบูลล์ไม่มีให้กับเขาในตอนนั้น นอกจากนั้นความกดดันที่คาดหวังให้เขาต้องทำผลงานให้ได้ นั่นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเสียสมาธิจนพลาดเองอยู่หลายครั้ง
ในเรื่องของความกดดัน แน่นอนว่าความกดดันในการขับให้กับวิลเลียมส์นั้นน้อยกว่าเรดบูลล์เป็นอย่างมาก ต้นสังกัดจากฐานกรูฟรู้ตัวเองดีว่า พวกเขายังไม่มีรถที่จะสามารถช่วยให้นักแข่งของพวกเขาขึ้นโพเดียมได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ ให้นักแข่งนั้นทำผลงานให้ดีที่สุดและอย่างน้อยควรจะเก็บแต้มให้กับทีมได้บ้างเป็นครั้งคราว
ประสบการณ์และการปรับตัวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่วิลเลียมส์ต้องการและอัลบอนมีให้อย่างแน่นอน นักแข่งลูกครึ่งไทยแสดงให้เห็นแล้วว่า เขาสามารถปรับตัวเข้ากับรถได้ทันทีในตอนที่เขาขยับจากโทโรรอสโซขึ้นมาเรดบูลล์ และกับการที่รถในปี 2022 นั้นดีไซน์แตกต่างจากรถเดิมเป็นอย่างมาก นั่นทำให้ทุกๆ คนต้องมาเรียนรู้จากศูนย์ใหม่ ซึ่งทำให้อัลบอนไม่เสียเปรียบในการไล่ตามมากนัก
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้วิลเลียมส์ตัดสินใจเลือกอัลบอน นั่นคือเขาเป็นลูกครึ่งไทย-บริติช หรือก็คือมีสัญชาติอีกครึ่งหนึ่งเป็นสัญชาติเดียวกับวิลเลียมส์ นั่นทำให้ต้นสังกัดของเขาสามารถพรีเซนต์ความเป็นบริติชของอัลบอนในการขอสปอนเซอร์ได้เช่นกัน (อย่างตอนที่วิลเลียมส์มีมาร์ตินี่เป็นสปอนเซอร์หลักในนาม ตอนนั้นพวกเขามี อเล็กซ์ ลินน์ นักขับบริติชเป็นนักขับทดสอบ)
กลับมามองในเรื่องของเป้าหมาย หากอัลบอนสามารถเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง นั่นจะถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว และจะดีกว่านั้นอีกหากเขาสามารถเอาชนะ นิโคลาส ลาติฟี่ เพื่อนร่วมทีมของเขาได้
อัลบอนกับลาติฟี่เองก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล ทั้งคู่นั้นเคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกันมาแล้วสมัยขับอยู่ในฟอร์มูล่าทูเมื่อปี 2018 และในตอนนั้นอัลบอนจบฤดูกาลในอันดับ 3 ส่วนลาติฟี่นั้นจบฤดูกาลในอันดับ 9
จุดอ่อนหนักๆ เพียงอย่างเดียวของอัลบอนในตอนนี้คือ เขาไม่ได้มีสปอนเซอร์เป็นกอบเป็นกำแบบที่นักแข่งคนอื่นๆ มี หลายคนอาจจะแย้งว่าเขามีสปอนเซอร์จากบ้านเราที่ให้การสนับสนุนอยู่พอสมควร แต่ถ้าว่ากันเป็นตัวเลขแล้ว มันถือว่าน้อยมากทีเดียวหากเทียบกับคนอื่นๆ อย่างเช่น กวนยู โจว หอบเงินสนับสนุนจากจีนมาให้ อัลฟ่า โรเมโอ เป็นจำนวน 30 ล้านยูโร ในขณะที่ แลนซ์ สโตรล สมัยอยู่กับวิลเลียมส์ก็ได้แดดดี้ลอเรนซ์ฟีตเงินให้ต้นสังกัดเป็นจำนวน 30 ล้านยูโร เช่นกัน
สรุปโดยภาพรวมแล้ว ในปีนี้อัลบอนน่าจะขับได้สบายขึ้น ทั้งความกดดันภายในทีมที่น้อยลง และเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ได้มีฝีมือระดับต่างดาว และถ้าหากวิลเลียมส์สามารถปรับปรุงรถขึ้นมาได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา เชื่อว่าอัลบอนจะสามารถเก็บแต้มอย่างต่อเนื่องให้กับทางทีมได้อย่างแน่นอน