แรงไม่หยุด กับกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นกำลังพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมาก หลาย ๆ ค่ายต่างมีการค้นคว้าวิจัยอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถตอบสนองกับทุกการใช้งานและไลฟ์สไตล์ของแต่ละผู้ใช้งาน ยิ่งถ้าหากว่าค่ายไหนสามารถนำรถยนต์ออกมาเปิดตัวได้ก่อนแล้วก็จะยิ่งสามารถช่วงชิงตลาดได้ก่อนอย่างแน่นอน และในปีหน้านี้ คิดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราจะคึกคักมากขึ้นอีกเป็นพิเศษ มาดูกันสักหน่อยว่า ในปี 2022 นั้น เราจะได้เห็นรถรุ่นไหนออกสู่สายตาชาวโลกกันบ้าง กับ 10 รถยนต์ไฟฟ้า สวยๆ แจ่มๆทั้งนั้นเลย
1.Nissan Note Aura (ราคาเริ่มต้นประมาณ 745,000 บาท)
รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่นกับ Nissan Note Aura ที่มาในรูปแบบของรถยนต์แฮตช์แบ็กพร้อมเทคโนโลยีแบบ e-Power มาด้วยดีไซน์ที่ตกแต่งพิเศษกว่ารุ่นก่อน โดยปรับเปลี่ยนโฉมหลายส่วนเลยทีเดียว ทั้งกันชนหน้าลายใหม่ ไฟหน้าแบบ LED ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น ล้อขนาด 17 นิ้ว ของ Gunmetal มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับภายในห้องโดยสาย ตัวเบาะจะคล้ายผ้าขนสัตว์ Herringbone สังเคราะห์กับหนัง ระบบเสียง Bose มาพร้อมลำโพง Bose Personal Plus เค้าเคลมว่าภายในรถนั้นเก็บเสียงได้ดี สำหรับเทคโนโลยี e-Power จะมาพร้อมกำลังแรงม้าสูงสุด 130 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร
2.Mitsubishi Airtrek EV (ราคาเริ่มต้นประมาณ 899,000 บาท)
Mitsubishi Airtrek EV 2022 รถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% เปิดตัวไปแล้วในจีนเมื่อไม่นานมานี้ มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่ให้การขับเคลื่อนได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร Mitsubishi Airtrek EV นี้จะเป็นรถยนต์แบบคอมแพ็คเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า (BEV) รุ่นแรกของ Mitsubishi ในประเทศจีน ที่มีการดีไซน์ออกแบบให้ Mitsubishi Airtrek EV มีหน้าตาคล้ายรถยนต์รุ่นก่อนหน้าของ Mitsubishi แต่จะปรับเปลี่ยนตรงกระจังหน้าให้เป็นแบบทึบที่ไม่จำเป็นต้องรับลมในการระบายความร้อนเครื่องยนต์ ในส่วนของไฟท้ายถูกออกแบบเป็นรูปตัว T เพิ่มความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น หลายเสียงบอกว่ามีกลิ่นอายคล้ายกับ Xpander และภายในห้องโดยสารนั้นจะเน้นการใช้โทนสีที่ช่วยเพิ่มความทันสมัย ประดับด้วยหน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบยกตัวขึ้นเหนือแผงคอนโซล ทั้งนี้ มีการคาดว่าจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 135 kW หรือ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร มีแบตเตอรี่ให้เลือก 2 ขนาด นั่นคือสามารถขับขี่ได้ไกล 500 หรือ 600 กิโลกเมตรต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียว
3.Chevrolet Bolt EUV 2022 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 991,000 บาท)
Chevrolet Bolt EUV 2022 ที่มีภายในที่แตกต่างจากเดิมและในส่วนของไฮไลท์อยู่ที่อุปกรณ์ดิจิตอลครบเซ็ตประกอบไปด้วยหน้าจอทรัชสกรีนขนาด 10.2 นิ้ว มีทั้งอินเทอเฟชแบบมีทั้ง Apple Carplay และ Android Auto และยังสามารถเชื่อมต่ออินเตอรเน็ตแบบ 4 LTE ชาร์ตไร้สาย สมรรถนะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจาก Bolt รุ่นก่อน ใช้แบตเตอรี่ขนาด 65 กิโลวัตต์ สามารถส่งกำลังได้ถึง 200 แรงม้า สามารถวิ่งได้ไกล 259 กม. และระบบฟาสชาร์จที่ใช้ในรุ่นนี้ก็สามารถชาร์จเต็มเพียงใช้เวลาแค่ 30 นาที และยังสามารถวิ่งได้ไกลถึง 181 กม. เรียกว่ามาคราวนี้รูปทรงสวยโดนใจคนชอบรถครอบครัวแน่นอน แต่จะเข้ามาไทยไหม อันนี้ก็ต้องมารอดูกันอีกที
4.Subaru Solterra EV (ราคาเริ่มต้นประมาณ 37,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.16 ล้านบาท)
เซอร์ไพรส์จากค่าย Subaru ที่จะเข้ามาร่วมตลาดในเทคโนโลยีทางด้านรถยนต์ไฟฟ้า โดยได้ร่วมโปรเจคกับทาง Toyota ที่จะสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Subaru ในชื่อรุ่น Solterra ซึ่งจะมีพัฒนาการมาจากพื้นฐานของแพลนตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่เรียกว่า e-Subaru Global Platform (e-TNGA) ซึ่งจะนำเอาจุดเด่นในเรื่องของการพัฒนาระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจาก Subaru มาผสานเข้ากับจุดเด่นของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจาก Toyota โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะกลายมาเป็นต้นแบบของรถยนต์ไฟฟ้าของ Subaru รุ่นต่อไปในอนาคต แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดทางด้านเทคนิค สมรรถนะ ฟังก์ชันการทำงาน และการตกแต่งรถยนต์ต่าง ๆ ออกมา แต่ก็มีการยั่วน้ำลายด้วยการปล่อยคลิปวิดีโอทีเซอร์ออกมาให้ได้ดูกันแล้ว
5.KIA EV 6 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 40,895 ปอนด์ หรือ 1.76 ล้านบาท)
KIA EV6 นั้นถูกออกแบบมาในลักษณะของ Digital Tiger Face ที่จะกลายมาเป็นแนวทางในการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคต โดดเด่นที่ไฟหน้าแบบ Daytime Running Light มีช่องดักลมบริเวณกันชนที่ออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่ ทำให้ตัวรถดูกว้างมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ที่ประตูท้ายยังออกแบบให้เทลาดไปทางด้านหลัง มาพร้อมกับไฟท้ายทรงเรียวยาวที่ดูสวยทันสมัยมาก หรูหรามากด้วย KIA EV6 นี้ได้รับการออกแบบจากสตูดิโอทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา, ประเทศเยอรมนี และประเทศเกาหลีใต้ สำหรับภายในห้องโดยสารจะประดับด้วยจอแบบไวด์สกรีนที่มีความละเอียดคมชัดสูงมาก สามารถทำการแสดงข้อมูลในการขับขี่พร้อมกับให้ความบันเทิงต่าง ๆ อย่างครบครัน นอกจากนี้ ยังมีปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศที่เป็นแบบ Haptic feedback เพื่อการใช้งานที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น แถมยังมีการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยพลาสติกที่มาจากการรีไซเคิลอีกด้วย สมกับเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารักษ์โลกอย่างแท้จริง
6.Hyundai Kona Electric (ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,549,000 บาท)
อีกหนึ่งค่ายจากเกาหลี ก็ยังส่งรถไฟฟ้าทรงครอสโอเวอร์ ขนาด 4 มอเตอร์ ที่มีพละกำลัง 201 แรงม้า และสามารถวิ่งได้ไกลถึง 258 ไมล์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นรถอีกรุ่นหนึ่งที่น่าติดตามในเรื่องของราคามากเลยทีเดียว
7.Porsche Macan EV (ราคาเริ่มต้นประมาณ 65,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 2 ล้านบาท)
ทางค่าย Porsche ก็ไม่น้อยหน้า เตรียมส่ง All new Porsche Macan มาเปิดตัวได้ยลโฉมในปี 2023 ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% อีกด้วย All new Porsche Macan จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตและพัฒนาจากแพลตฟอร์มใหม่ PPE (Premium Platform Electric) โดยในปัจจุบันมีการผลิตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบวิ่งบนถนนจริงแล้ว ซึ่งผู้ดูแลส่วนงานวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าได้ทำการเปิดเผยว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ตัวนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของทางค่าย โดยก่อนหน้าที่จะมีการทำทดสอบบนถนนจริง ก็ได้มีการทดสอบด้วยระบบจำลองสภาพพื้นผิวเสมือนจริงในสภาวะต่าง ๆ มากกว่า 3 ล้านกิโลเมตรแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรต่าง ๆ รวมทั้งงบประมาณและเวลาอีกด้วย รถยนต์รุ่นนี้จะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% แต่จะมีความแตกต่างกว่ารถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ ตรงที่มอเตอร์ไฟฟ้าของ All new Porsche Macan นั้นจะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าระบบส่งกำลังแบบอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูงที่ต้องใช้อุณหภูมิในการทำงานเพียงแค่ 20-70 องศาเซลเซียสเท่านั้น
8.BMW i4 M50 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 65,900 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 2 ล้านบาท)
BMW i4 M50 2022 จากทางค่าย BMW จะถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% คันแรกของรถยนต์ตระกูล M Performance โดยการดีไซน์นั้นยังคงเอกลักษณ์ของความหรูหราสไตล์สปอร์ตเอาไว้อย่างครบถ้วน ที่กระจังหน้าเป็นแบบทรงไตคู่ที่มีช่องดักอากาศ มาพร้อมกับไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED อีกทั้งยังใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับการตกแต่งรอบคันอีกด้วย ในเรื่องของสมรรถนะนั้น BMW i4 M50 จะใช้แบตเตอรี่ที่สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 395 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเพียงแค่ 1 ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7.6 ชั่วโมง ด้วยเครื่องชาร์จขนาด 11kw หากต้องการความรวดเร็วแล้ว เราสามารถชาร์จได้เร็วขึ้นโดยผ่านเครื่องชาร์จไฟแบบ 200 kW จะได้กำลังไฟ 10-80% ภายในระยะเวลาเพียง 31 นาทีเท่านั้น สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าจะมี 2 ตัวที่เพลาหน้า-หลัง ซึ่งจะให้พละกำลัง 255 และ 308 แรงม้า ตามลำดับ แล้วจะมีการทำงานผสานร่วมกัน ทำให้ได้พละกำลังรวมสูงสุดอยู่ที่ 536 แรงม้า และมีแรงบิดอยู่ที่ 795 นิวตันเมตร แต่จะข้อแม้อยู่ว่าตัวเลข 536 แรงม้านั้น จะสามารถเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการใช้งานฟังก์ชันที่เรียกว่า Sport Boost ในเรื่องของอัตราเร่งนั้น BMW i4 M50 จะสามารถเพิ่มอัตราเร่งจาก 0 ไปจนถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3.9 วินาที สามารถทำเวลาได้เร็วกว่า BMW i4 รุ่นปกติที่เคยทำได้แค่เพียง 5.7 วินาทีเท่านั้น และในส่วนของความเร็วสูงสุดนั้นจะอยู่ที่ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง BMW i4 M50 จะผลิตออกมาเป็นแบบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมีช่วงล่างที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด มีระบบกันสะเทือนพร้อมโช้คและสปริงที่สามารถปรับได้ ตัวล้อรถยนต์จะเป็นอัลลอยด์น้ำหนักเบา ขนาด 19 นิ้ว และมีขนาด 20 นิ้ว เป็นส่วนเสริมเข้ามา
9.Volkswagen ID.4 (ราคาเริ่มต้นประมาณ 2,500,000 บาท)
รถยนต์ไฟฟ้า SUV ขนาดเล็ก 5 ที่นั่ง ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์ Volkswagen และให้กำลังมอเตอร์สูง 201 แรงม้า พร้อมระยะการขับไดลสุด 250 ไมล์ หรือ 402 กิโลเมตร หรือถ้ายังไม่โดนใจก็มีอีกรุ่นให้เลือกกับมอเตอร์ 302 แรงม้า กับระบบขับเคลื่อนแบบ AWD แต่สำหรับตัวนี้ยังไม่เปิดเผยระยะทางสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
10.Ford Mustang Electric SUVs 2021 [MACH E] (ราคาเริ่มต้นประมาณ 3,787,000 บาท)
ใครจะไปคิดว่าเจ้าม้าลำพอง Ford Mustang ที่มาปกติจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่โตในทุกเจเนเรชั่น จะแปลงโฉมครั้งใหญ่มาเป็นรถยนต์สไตล์ SUV พลังงานไฟฟ้าหน้าตาดูดันหล่อเหลาแต่อันที่จริงแล้ว MACH-E ไม่ได้จะสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่ Ford Mustang แต่อย่างใด แต่เอามาทำเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ และให้พละกำลัง ถึง 332 แรงม้าแรงบิด 417 Pound-Feet Of Torque และสามารถทำความเร็ว 0-100ได้ภายใน 6 วินาที และจะมีตัวพิเศษอย่าง GT Performance Edtion มีกำลัง 480 แรงม้า แรงบิดสูงถึง 634 Pound-Feet Of Torque สามารถทำความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 3.5 วินาทีเท่านั้น Mach-E extended-range version แบตเตอรี่ 88 kWh สามารถวิ่งได้ไกลถึง 434 กิโลเมตร ต่อการชาร์ตไฟ 1 ครั้ง ในการขับขั้แบบ All wheel drive และขับได้ไกลถึง 482 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียวหากขับขี่ด้วยล้อหลัง ยังคงซึ่งความสปร์อตตัวแรงได้อยู่เหมือนกัน กับโฉมหน้าที่สวยเท่ห์มากๆเลยทีเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง