More

    MG HS Facelift เอสยูวีหล่ออัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

    ไทยเป็นประเทศที่สองต่อจากจีนที่เปิดตัวหน้าใหม่ MG HS Facelift ที่คราวนี้เปิดตัวพร้อมกันทั้งสองรุ่นทั้งรุ่นเครื่องสันดาปและ PHEV

    MGMG

    การปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 3 ปี ยกระดับคุณค่าด้านการออกแบบให้มีความโดดเด่น และทันสมัย ผสานทั้งความหรูหราและความสปอร์ตอย่างลงตัว ด้วยเส้นสายของตัวถังแบบ British Shoulder Line ที่เน้นเรื่องความโค้งมนสมบูรณ์แบบของตัวรถ พร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตั้งแต่กระจังหน้า DNA ใหม่ สี 2-Tone ดีไซน์ Digital Burning Grille กันชนหน้า กันชนท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมท่อไอเสียคู่

    ไฟหน้าแบบ QUAD LED Projectorไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ไฟท้ายแบบ Full LED ไฟ Welcome Light สปอยเลอร์หลังพร้อมราวหลังคา ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า มีฟังก์ชั่นปรับระดับสูง-ต่ำ พร้อมสั่งการผ่านทางรีโมทคอนโทรล ล้ออัลลอยด์ BI-COLOUR ดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/50 R18และขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/60R17

    มิติตัวรถใหญ่ทุกมิติตั้งแต่ความยาว 4,574มม. ความกว้าง 1,876 มม. ความสูง 1,664 มม. ฐานล้อ 2,720 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 145 มม. และความจุถังน้ำมัน 37 กับ 55 ลิตร

    MG

    ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยสี 2-Tone Monaco Blue ใช้วัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch ให้ความรู้สึกหรูหราและพรีเมียมในทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชันที่ให้ทั้ง ความสะดวกสบายและคุณค่าระหว่างการขับขี่ที่ครบครัน ภายในมีทั้งสีดำ และ 2-Tone ขาว – น้ำเงิน เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ใช้วัสดุ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) หลังคา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ Interactive Ambient Light ในห้องโดยสาร ปรับได้ 64 เฉดสี หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว หน้าจอกลาง แบบ Multi-Function Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว

    ระบบเสียง Surround เหนือระดับ กับ BOSE 8.1 Sound System  ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แบบ Dual Zone ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ระบบกรองอากาศ PM 2.5 กระจกมองหลังตัดแสงแบบอัตโนมัติ ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start NVH Luxury Silence Space และแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ระบบเชื่อมต่อมัลติมิเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Andriod

    ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่ช่วยยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์เอ็มจี รวมถึงการเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ให้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมเทคโนโลยี Digital Key และล่าสุดกับ  AR NAVIGATION ระบบนำทางเสมือนจริง ที่จะทำให้ทุกการเดินแม่นยำมากยิ่งขึ้น

    MG

    สเปคไทยยังคงเดิมด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 15E4E 162 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,300 รอบ/นาที และรุ่นเสียบปลั๊ก PHEV ที่ใช้พื้นฐานเครื่อง 1.5 ลิตร พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า สมรรถนะสูงแบบ Hairpin Winding Technology ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตรและ แบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ขนาด 16.6 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ​​EDU II ในรุ่น PHEV และเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่  TST แบบ 7 สปีดในรุ่นปกติทั้งคู่มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport เพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น และโหมด EV(รุ่น PHEV)

    สำหรับรุ่น HS PHEV ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.5 วินาที และสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้า 100% ได้ถึง 67 กิโลเมตร มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Coolant System)แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย AMERICAN UL2580 และมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ระบบการบริหารพลังงานไฟฟ้าและสร้างกระแสไฟฟ้าจากเครื่องยนต์กลับสู่แบตเตอรี่ (Battery Management System)

    ขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมช่วงล่าง Euro Tuning Suspension ด้านหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบช่วงล่างหลังแบบ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง ดิสก์เบรกหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน และดิสก์เบรกหลัง

    MG

    เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยรอบคันทั้งระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย (Full Space Frame) และความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System มากถึง 26 ระบบ โดยแบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัย เชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ จำนวน 14 ระบบ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) หรือระบบช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทั้งด้านหน้าและด้านท้ายรถ ซึ่งเทียบเท่ากับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 2 (Autonomous Level 2) รวมกันกว่า 12 ระบบ ได้แก่

    • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
    • ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
    • ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
    • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
    • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
    • ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
    • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
    • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
    • ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
    • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Brake) ที่เพิ่มเติมเข้ามา ในโฉมล่าสุดนี้ เพื่อความปลอดภัยที่ดียิ่งกว่า

    นอกจากนี้ ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ  (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และ   ม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง และระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์

    MG

    MG

    MG HS Facelift ทั้งรุ่นเครื่องยนต์สันดาปและรุ่น PHEV มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย พร้อมสีตัวถังทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) สีเทา (Metal Ash Grey) และสีแดง (Scarlet Red) พร้อมราคาจำหน่ายดังนี้

    – รุ่น C ราคา 939,000 บาท

    – รุ่น D ราคา 1,089,000 บาท

    – รุ่น X ราคา 1,159,000 บาท

    – รุ่น PHEV D ราคา 1,299,000 บาท

    – รุ่น PHEV X ราคา 1,379,000 บาท

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts