หลังจากที่เปิดตัวในไทยไปสำหรับ BMW XM เอสยูวีทรงสปอร์ตพลังเสียบปลั๊กประเดิมขายไทยรุ่นแรกรุ่น XM V8 653 แรงม้าในราคา 14.899 ล้านบาท
ล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เตรียมเปิดตัวสมาชิกใหม่รุ่นที่สองแห่งตระกูล XM เป็นรุ่นเริ่มต้นด้วย BMW XM 50e ที่ยังคงรูปลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ความสะดวกสบายอันหรูหรา และขุมพลังที่เหนือกว่า ตามแบบฉบับซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล XM และตามรอยรุ่นก่อนหน้าที่เปิดตัวในประเทศไทยไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา บ่งบอกถึงความพิเศษตัวตนที่โดดเด่น และสมรรถนะที่ไม่เหมือนใครเช่นเดียวกับรถในตระกูล XM รุ่นก่อนหน้า ด้วยการผสมผสานความเป็นรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ หรือ Sport Activity Vehicle (SAV) อันทันสมัย รูปลักษณ์ที่ทรงพลัง สัดส่วนไดนามิกที่แข็งแกร่ง
การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์สไตล์ M และรูปโฉมหน้ารถที่ได้รับการออกแบบใหม่ในกลุ่มลักชัวรี่ พร้อมองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์อื่น ๆ เปี่ยมไปด้วยออร่าแห่งความพิเศษและความชัดเจนในตัวตนที่ไม่ซ้ำใคร การออกแบบในสไตล์ M ยังช่วยเน้นย้ำถึงความดุดันและความมั่นใจของดีไซน์รถยนต์รุ่นนี้ เสริมความโดดเด่นด้วยไฟหน้าสองชั้น และกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ ‘Iconic Glow’ ที่มาพร้อมกรอบไฟส่องสว่างล้อมรอบกระจังหน้าทั้งคู่ แถบสีด้านข้างรถที่ชวนให้นึกถึง BMW M1 ยังช่วยยกระดับดีไซน์ด้านข้างของบอดี้ให้สะกดทุกสายตา นอกจากนั้น ยังรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ชวนให้นึกถึงอดีต อาทิ โลโก้ BMW ที่สลักไว้ที่กระจกหลังและไฟท้าย รวมถึงชิ้นส่วนอื่น ๆ ในสีดำเงาและการตกแต่งรายละเอียดเส้นสายในสีดำดุดันช่วยขับให้บุคลิกของรถรุ่นนี้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น และล้ออัลลอย M light alloy wheels ขนาด 23 นิ้ว พร้อมยางหน้า 275/35 R23 และยางหลัง 315/30 R23
ตัวรถใหญ่กว่า BMW X7 ตั้งแต่ความยาว 5,110 มม. ความกว้าง 2,005 มม. ความสูง 1,755 มม. ฐานล้อ 3,105 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 220 มม. ความจุถังน้ำมัน 69 ลิตร
ภายในยังแตกต่างด้วยดีไซน์อันโดดเด่น มอบความสะดวกสบายขั้นสุด ห้องโดยสารตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M และเข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M ให้ความรู้สึกสปอร์ตและโฉบเฉี่ยวในการขับขี่ ผ้าบุหลังคายังเป็นเสมือนงานประติมากรรม 3 มิติ ลวดลายแบบปริซึมและเมื่อเปิดหลังคาก็จะพบกับหลอดไฟ LED กว่า 100 ดวงบนหลังคาที่ส่องสว่างอย่างงดงามยามค่ำคืน คอนโซลด้านบนยังบุด้วยหนังแบบ BMW Individual ทำให้การตกแต่งภายในสะดุดตาและหรูหราไปอีกขั้น นอกจากนี้ ยังมีชุดไฟตกแต่งภายใน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน ระบบระบายอากาศและฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสําหรับเบาะนั่งตอนหน้าที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานในรถยนต์รุ่นนี้ด้วย
ยังได้รับการพัฒนาด้านระบบความบันเทิงและการสื่อสารให้ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ด้วยหน้าจอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฎิบัติการ BMW Operating System รุ่นใหม่ล่าสุด ที่สามารถปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น ระบบจำลองเสียงเครื่องยนต์ IconicSounds Electric ให้เสียงขับที่กระตุ้นความตื่นเต้นแม้ในโหมดการขับขี่แบบไร้มลพิษ คุณลักษณะเด่นอีกประการของรถยนต์รุ่นนี้คือ ระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาของตนกับรถยนต์แบบไร้สายผ่าน Apple CarPlay หรือ Android Auto นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังจะได้รับประโยชน์จาก Connected Package Professional ช่วยให้มั่นใจว่าจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและข้อมูลการจราจรอัปเดตล่าสุดเมื่ออยู่บนท้องถนน
มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดอันทรงพลัง ซึ่งมอบไดนามิกสุดเร้าใจพร้อมกับสมรรถนะอันน่าทึ่งด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทคโนโลยี M TwinPower Turbo และระบบขับเคลื่อน M Hybrid 3.0 ลิตร 6 สูบ รหัส B58B30M1 ให้กำลัง 313 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 4,700 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่แบบ search BMW eDrive ให้กำลังถึง 197 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตรที่ 100-5,500 รอบ/นาที พร้อมความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion 29.5kWh เมื่อทำงานร่วมกันจะได้กำลังถึง 476 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร ส่งพลังเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งสู่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 5.1 วินาที และสามารถทำระยะทางขับเคลื่อนไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 84 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้าอยู่ที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรองรับการชาร์จช้า 7.4 kW AC 0 – 100%
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกกดปุ่ม M Hybrid ที่คอนโซลกลางเพื่อเข้าโหมดใดโหมดหนึ่งจากทั้งหมด 3 โหมด ทั้ง HYBRID, ELECTRICโหมดการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 100% และ eCONTROL คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด M Steptronic
เทคโนโลยี M xDrive ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับประกันการส่งกำลังการขับขี่สู่ท้องถนนอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่แบบไดนามิก นอกจากนี้ ช่วงล่าง Adaptive M Suspension Professional ยังให้การควบคุมแบบสปอร์ตโดยไม่กระทบต่อความสบายของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ระบบช่วยการขับขี่ รุ่น Professional พร้อมควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ยังมาพร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความเร็วของรถในระดับที่ต้องการและคงระยะห่างจากรถคันหน้าให้สม่ำเสมอเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รถยนต์อยู่ในเส้นทางอย่างคงที่ด้วยระบบบังคับพวงมาลัย และเพื่อความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus ยังช่วยให้การจอดรถและการบังคับรถทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
สปอร์ตอเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle สายพันธุ์ M รุ่นนี้จะสามารถมอบความเร้าใจที่เป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมตัวเลือกเพิ่มเติมกับออปชันเสริมซึ่งสามารถปรับแต่งได้หลากหลายให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าอีกด้วยโดยเตรียมประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้