More

    ริวิว! 2023 Range Rover Sport สายหรูน่านั่งพกพลังเสียบปลั๊ก

    นับตั้งแต่ Range Rover แตกไลน์อัพผลิตภัณฑ์ออกมาถึงสี่ทางเลือกก็ได้เห็นความเป็นตัวของตัวเองอย่างเด่นชัดหวังตอบโจทย์สายหรู

    Range Rover

    ทั้ง Range Rover Evoque  Range Rover Velar และ Range Rover Sport โลดแล่นบนท้องถนนมาตั้งแต่ปี 2004 เป็นการจับ Range Rover พี่คนโตมาย่อส่วนปรับตัวตนให้ออกแนวสปอร์ตปราดเปรียวแต่ยังใหญ่กว่าพี่น้องในสายเลือดทั้ง Range Rover Velar และ Range Rover Evoque ตั้งแต่เจเนอเรชันแรกจนถึงเจเนอเรชันล่าสุดเปิดเผยทั่วโลกในปี 2022 และเมืองไทยเปิดตัวหนึ่งปีให้หลัง

    Design & Exterior

    Range Rover

    น้องรองลำดับที่สองถอดแบบมาจากพี่ใหญ่ Range Rover รหัส L460 ในขนาดที่ย่อลงมารูปทรงที่โดดเด่นคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ใครก็สามารถจดจำได้ทันทีที่เห็นด้วยระยะยื่นจากล้อที่สั้นบริเวณด้านหน้าดูโฉบเฉี่ยวกระจกมีระดับความลาดเอียงเหมาะสมของทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของรถตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ในขนาดที่เล็กลงพร้อมปักชื่อ Range Rover ขอบฝากระโปรงหน้า ไฟหน้า Digital LED คุณภาพสูง พร้อมไฟ LED DRL รูปตัว J ในโคมเดียวกัน รับกับกันชนหน้าดีไซน์เท่ ที่เปิดประตูซ่อนรูปกลมกลืนกับตัวถัง

    พร้อมหลังคารถที่ลาดลง ช่องระบายอากาศทรงเท่ติดข้างบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา ที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียนกับตัวรถและยื่นออกมาตอนที่ปลดล็อกรถ บันไดข้างไฟฟ้าแบบซ่อนรูปใต้ท้องรถทำงานสัมพันธ์กับประตูรถเมื่อเปิดประตูบันไดข้างจะยื่นออกมาซึ่งถ้าไม่ชอบให้บันไดข้างยื่นออกมาก็สามารถปรับตั้งปิดระบบได้ ด้านท้ายต่างจากพี่ใหญ่ตรงที่ ไฟท้าย LED มาในแบบแนวนอน พร้อมตัวอักษร Range Rover สีดำ กันชนหลังสีทูโทนกับลิ้นสปอยเลอร์สีดำและท่อไอเสียเดี่ยวสองฝั่งติดกรอบโครเมียม เสาอากาศครีบฉลามคู่ ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว พร้อมยาง 275/50R21

    Dimension

    Range Rover

    Range Rover Sport เจเนอเรชันที่สามในรหัส L461 สร้างจากแพลตฟอร์ม MLA-Flex architecture แบบเดียวกับพี่ใหญ่ Range Rover เพิ่มความแข็งแกร่งในการบิดได้สูงกว่า Range Rover Sport รุ่นก่อนหน้านี้ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ พร้อมมิติตัวรถที่ใหญ่กว่าเจนที่แล้วตั้งแต่ความยาว 4,946 มิลลิเมตร ความกว้าง 2,047 มิลลิเมตร ความสูง 1,820 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,997 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น 281 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,660 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 86 ลิตร และลุยน้ำได้ลึกระดับ 900 มิลลิเมตร

    Interior & Convenience

    Range Rover

    ภายในหรูเทียบเท่าพี่ใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Range Rover Command Driving Position เพื่อความสมดุลของความสง่างาม ห้องโดยสารที่ดูเหมือนห้องนักบินสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบไดนามิกด้วยทัศนวิสัยที่ยอดเยี่ยมขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายให้ผู้ขับขี่ด้วยคอนโซลกลางที่ลาดเอียงในแนวสูงและเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกการขับขี่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ระบบอินโฟเทนเมนท์ Pivi Pro หน้าจอสัมผัสแบบโค้งพร้อมลำโพงคุณภาพจาก Meridian 29 จุด กำลังขับ 1,430 W มาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 13.7 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านปรับสูงต่ำและเข้าออกด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมแป้นเหนี่ยวไกหรือ Paddle Shift และ Head-Up Display จอแสดงผลบนกระจกบังลมหน้า

    เบาะนั่งปรับระดับด้วยไฟฟ้า 22 ทิศทาง เบาะหลังตอนที่สองนั่งได้สามที่นั่งพับได้แบบ 40:20:40 โดยถ้าไม่พับเบาะมีพื้นที่  647 ลิตรแต่ถ้าพับลงมาจะมีพื้นที่มากถึง 1,491 ลิตร นั่งสบายการมองเห็นโปร่งโล่งถึงคนขับจะสูง 174 เซนติเมตร มีระบบ Cabin Air Purification Pro รุ่นล่าสุดพร้อมสร้างรักษาสภาพแวดล้อมการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ ระบบนี้ผสมผสานคุณสมบัติในการกรองฝุ่น PM2.5 มีเทคโนโลยี nanoeTM X เพื่อลดกลิ่นอับ แบคทีเรีย และสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ รวมไปถึงไวรัส SARS-CoV-23 อุปกรณ์ nanoeTM X ตัวที่สองได้รับการติดตั้งไว้ในบริเวณแถวที่สองเพื่อให้คุณภาพอากาศที่สม่ำเสมอทั่วทั้งห้องโดยสาร และฟังก์ชันการจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) บนพื้นฐานเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิอิสระ กระจกมองหลังอัตโนมัติสามารถแสดงภาพด้านหลังได้แบบ ClearSight Interior Rear View Mirror ใช้ในตอนบรรทุกสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่จนบดบังการมองเห็นกระจกมองหลังแบบปกติได้

    Power & Transmission

    Range Rover

    Range Rover Sport เจนที่สามมีความหลากหลายทางด้านขุมพลังให้เลือกตั้งแต่เบนซินเทอร์โบล้วน เบนซินเทอร์โบมายด์ไฮบริด ดีเซลเทอร์โบมายด์ไฮบริด และเบนซินเทอร์โบปลั๊กอินไฮบริด แบบ 6 สูบ และ 8 สูบรูปตัววี ซึ่งล้วนยกมาจากพี่ใหญ่ Range Rover แทบทั้งสิ้นแต่สำหรับเมืองไทยจำหน่ายแค่รุ่นเดียวคือรุ่นปลั๊กอินไฮบริด P510e จากพื้นฐานเบนซินเทอร์โบ 6 สูบ Ingenium 3.0 ลิตร รหัส PT306 ให้พลังมากสุด 510 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที

    พร้อมความจุแบตเตอรี่ 38.2 kWh มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 5.4 วินาที วิ่งไกลสุดด้วยระบบไฟฟ้า 113 กิโลเมตร และระยะการขับขี่จริงที่คาดไว้คือ 88 กิโลเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับเจ้าของรถส่วนใหญ่ที่จะทำได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้า

    Range Roverปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 18 กรัม/กิโลเมตร สำหรับการเดินทางไกล ระบบจะส่งกำลังปลั๊กอินไฮบริดที่ให้ระยะทางรวม 740 กิโลเมตร ของการขับขี่ผสมกันแบบไฮบริด และความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมชาร์จที่บ้าน Wallbox  ชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% ชาร์จได้ 5 ชั่วโมง ชาร์จกระแสตรง DC รองรับสูงสุด 50 kW 0-80% ในเวลา 40 นาที ยังมีระบบชาร์จกลับเพิ่มระยะทางการใช้งานของแบตเตอรี่แบบ Brake Energy Recuperation ระบบจะชาร์จกลับเมื่อเหยียบเบรกหรือลดความเร็ว

    จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ Terrain Response 2 ที่มีโหมดออฟโรดถึง 6 โหมด เลือกได้ตามเส้นทางที่แตกต่าง ตั้งแต่ โหมดการขับขี่ทางเรียบไฮเวย์ Normal Driving, โหมดลุยน้ำ WADE, โหมดลุยในทางโขดหิน Rock Crawl, โหมดลุยทางโคลนและแอ่งโคลน MUD And Ruts, โหมดลุยทางพื้นหญ้า-กรวด-หิมะ Grass- Gravel- Snow และโหมดลุยพื้นทราย Sand และ ล็อกเฟืองท้าย Differential Controls

    Handling & Driving

    Range Roverถึงจะเป็นการขับสั้นๆแต่สิ่งที่ได้ประทับใจจากขุมพลังเสียบปลั๊กทำงานร่วมกันทั้งเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าในโหมด Hybrid ให้ความเงียบสุขุมนุ่มลึกตัดต่อการทำงานแบบเนียนช่วงขับรถทั่วๆไปในเมืองแต่ก็ให้ความสะใจในแบบขับทางตรงๆโล่ง นำพาร่างที่มีน้ำหนัก 2 ตันกว่าๆ พุ่งแซงคล่องตัวหรือจะเลือกแบบแบตเตอรี่กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเพียวๆก็เข้าโหมด EV ที่ชาร์จมาเต็มๆอาจลดลงได้แต่การขับในเมืองทั้งวันยังพอเหลือที่ขับกลับไปชาร์จที่บ้านหรือที่สถานีชาร์จได้

    แต่การกดคันเร่งรุนแรงมีผลทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุถ้าเลือกขับโหมดเครื่องยนต์ทำงานอย่างเดียว SAVE คันนี้มีข้อดีคือสามารถชาร์จกระแสตรงหรือ DC ได้ถ้าชาร์จเต็มจะได้ระยะทางวิ่งจริงในโหมดไฟฟ้าเพียง 83 กิโลเมตรในการชาร์จครบ 100 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าใช้งานประจำวันหนึ่งอาจเหลือๆ

    Range Roverนอกจากความเงียบของขุมพลังและการเก็บเสียงจัดว่าเป็นขั้นเทพแล้วระบบช่วงล่างยังให้ความนุ่มนวลเทียบชั้นรถหรูระดับเดียวกันเได้สบายกับช่วงล่างถุงลม Dynamic Air Suspension บนพื้นฐานช่วงล่างอิสระสี่ล้อ เพิ่มความยืดหยุ่นด้วยการปรับแรงดันของกระบอกโช้คให้สอดคล้องกับพื้นผิวถนนและความลาดชัน แถมยังสามารถปรับระดับตัวรถให้สูงต่ำได้จากอัตโนมัติหรือปรับได้ด้วยตนเองแบบ 3 ระดับทั้ง Offroad, Standard และ Access ยังมาพร้อมกับตรวจสอบทิศทางของถนนข้างหน้าโดยใช้ระบบข้อมูลการนำทางที่เรียกว่า eHorizon เพื่อทำงานให้สอดคล้องกับระบบช่วงล่าง ที่ต้องปรับสภาพให้เป็นไปตามข้อมูลล่วงหน้าที่ได้รับจากระบบหรือเมื่อต้องเข้าโค้งในระยะที่ใกล้เข้ามา

    สร้างประสบการณ์การขับขี่อย่างมั่นใจควบคุมตัวถังความนุ่มนวลในการเข้าโค้งที่เหนือระดับด้วยระบบ Dynamic Response Pro ทำงานควบคู่กับช่วงล่างถุงลม เป็นการเปิดตัวสปริงลมแบบปรับระดับได้เป็นครั้งแรก ให้การควบคุมการหมุนขั้นสูงสุดผ่านระบบควบคุมการหมุนด้วยพลังงานแอคทีฟอิเล็กทรอนิกส์ 48 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้แรงบิดได้สูงสุดถึง 1,400 นิวตันเมตร ในแต่ละเพลา

    บวกเทคโนโลยี Adaptive Dynamics เพิ่มความสามารถในการควบคุมอย่างต่อเนื่องช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของร่างกายผู้ขับขี่ Active Twin Valve Dampers ยังสามารถตรวจสอบปัจจัยภายนอกได้สูงถึง 500 ครั้งต่อวินาที เพื่อให้การตอบสนองที่สมบูรณ์แบบ

    Range Roverคล่องตัวในการเข้าโค้งยังช่วยยกระดับการขับขี่ไปอีกขั้นจากพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าที่ให้น้ำหนักเบาคล่องมือในการสาวพวงมาลัยคล่องแคล่วมาพร้อมระบบ All-Wheel Steering หรือเลี้ยวสี่ล้อช่วยให้การบังคับเลี้ยวของล้อหลังทำมุมตรงกันข้ามกับล้อหน้า ได้สูงสุดถึง 7.3 องศา เพื่อลดวงเลี้ยวให้แคบลงในความเร็วต่ำและทำมุมขนานกับล้อหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้งในช่วงเวลาที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง และยังมี Torque Vectoring by Braking และ Electronic Active Differential มาด้วย สร้างความประทับใจในการขับขี่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนท้องถนนที่มีสภาพพื้นผิวปกติหรือบนเส้นทางแบบออฟโรดที่ยากลำบาก

    นอกจากจะมีขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ Terrain Response 2 ที่ปรับได้หกโหมดแล้วบางโหมดยังทำงานร่วกับระบบล็อกควาเร็วแปรผันอัตโนมัติในยามลุยหรือ New Adaptive Off-Road Cruise Control ช่วยให้ผู้ขับขี่ท่องไปในสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยความยากลำบากได้อย่างราบรื่น และยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบแม้สภาพพื้นผิวถนนจะมีความแตกต่าง

    Safety & Feature

    ติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงรุ่นล่าสุดที่เรียกว่า Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ที่เน้นไปที่ความปลอดภัยในการขับขี่ทั้งระบบเบรกฉุกเฉิน กล้องมองภาพ 3D รอบทิศทาง เซนเซอร์จอดรถด้านหน้าและด้านหลัง ระบบ Wade Sensing ระบบ ClearSight Ground View4 และไฟเลี้ยวที่มีระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ ระบบตรวจสอบสภาพคนขับ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ในเลน และระบบจดจำป้ายจราจร เป็นต้น

    Verdict

    Range Roverถึง Range Rover Sport เจเนอเรชันใหม่ออกมาเพื่อเหล่าเซเลปนักธุรกิจที่ไม่ต้องการความใหญ่เทอะทะแต่ไม่เล็กคล่องแคล่วกว่าพี่ใหญ่ Range Rover ความหรูหราโอโถงจากชุดเบาะนั่งหุ้มหนังแท้ตัดเย็บคุณภาพ เครื่องเสียง Meridian กระหึ่มไพเราะก็ทำให้เพลินทุกการเดินทาง พลังเสียบปลั๊ก 6 สูบ ให้อัตราสิ้นเปลืองตามข้อมูลโรงงานถึง 58.82 กิโลเมตรต่อลิตร จากการขับขี่แบบ Hybrid โดยในชีวิตจริงอาจทำไม่ถึง โดยรวมเน้นความแรงขับสะใจแต่ก็กินน้ำมันแบบเอาเรื่องในยามเรียกกำลังแต่โหมด Hybrid เหมาะสำหรับคนรักษ์โลกเน้นความสุภาพนิ่มนวลอ่อนหวานในยามขับในเมือง ราคาค่าตัว 8,599,000 บาทในรุ่น Dynamic SE Plug-In Hybrid 510PS พร้อมการรับประกันคุณภาพ บำรุงรักษาตามระยะและช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงในระยะเวลา 5 ปีนับจากซื้อรถหรือ Range Rover Care เรียกว่าถ้ารักและหลงใหลในเสน่ห์ของรถยนต์อังกฤษคันนี้คือคำตอบ

    ขอขอบคุณ อินช์เคป (ประเทศไทย) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์พรีเมียมระดับโลกอย่างเป็นทางการในไทยทั้ง Jaguar- Land Rover ส่งรถ Range Rover Sport ให้ทางทีมงาน Car2Day ได้รู้จักตัวตนของอัครสปอร์ตเอสยูวี

    ขอขอบคุณโครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีช สุขุมวิท 77 (Perfect Masterpiece) จากพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายทำรีวิว

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts