ยานยนต์อีวีตระกูล Ocean ที่บุกตลาดโลกรวมถึงเมืองไทยจนประสบความสำเร็จมาแล้วทั้ง BYD ATTO 3 กับ BYD Dolphin และล่าสุดกับ BYD SEAL
และหลังจากเปิดตัวและขายที่ ฮ่องกง เวอร์ชันพวงมาลัยที่แรกของเอเชียและของโลกและเมืองไทยเป็นที่ๆสองที่เปิดตัวเก๋งซีดานคู่แข่ง TESLA Model 3 อย่าง BYD SEAL ดีไซน์หล่อล้ำอนาคต ตั้งแต่ไฟหน้า LED ชุดกันชนหน้าขึ้นรูปชิ้นเดียวมีกระจังหน้าปิดทึบอยู่ในชุดเดียวกัน กระจกแบบโอเปร่า ดีไซน์หรูหราดุจรถยุโรป เส้นสายของตัวถังที่ดูลื่นไหลนับตั้งแต่จมูกหน้ารถ แนวตัวถังด้านข้าง ต่อเนื่องไปจนถึงโคมไฟท้าย LED ที่วางแบบเต็มความกว้างท้ายรถติดตั้งดิฟฟิวเซอร์มาให้พร้อมสรรพ จุดสังเกตของรุ่นท็อปสุดด้านท้ายจะมีตัวอักษรว่า AWD และ 3.8 S ติดที่ฝากระโปรงท้าย พื้นที่วางของที่ฝากระโปรงหน้า 53 ลิตร ล้อสีทูโทนดีไซน์เอกลักษณ์ ให้เลือกทั้งขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 225/50R18 และขนาดใหญ่ 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45R19 จาก Continental SportContact
บนพื้นฐาน e-platform 3.0 ความยาว 4,800 มม. ความกว้าง 1,875 มม. ความสูง 1,460 มม. ฐานล้อ 2,920 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 120 มม. น้ำหนัก 1,922-2,185 กก. และรัศมีวงเลี้ยว 5.7 ม.
ห้องโดยสารเด่นทั้งเรื่องดีไซน์ตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน ทรงท้ายตัดพร้อมสันเพิ่มความกระชับให้กับอุ้งมือ มองลอดพวงมาลัยเป็นจอ Driver Display แสดงผลในรูปแบบดิจิตอล LCD 10.25 นิ้ว ถัดไปอีกเล็กน้อย คือ Head-up Display แสดงข้อมูลที่จำเป็นโดยที่ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนนเบื้องหน้าส่วนจอแสดงผล ระบบ Infotainment ขนาดใหญ่เต็มตาถึง 15.6 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple Car Play Android Auto รองรับ 5G มีระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ DiLink ที่ชาร์จมือถือไร้สายรวมถึงหัวเกียร์คริสตัลรอบๆคันเกียร์รายล้อมด้วยปุ่มควบคุมการทำงานของจอสัมผัส เบาะนั่งทรงสปอร์ต หุ้มหนังอย่างประณีต มีช่องเก็บของหลายจุดสามารถวางแก้วน้ำ และพื้นที่สัมภาระท้ายมีความจุ 400 ลิตร
ขุมพลังอีวีมีให้เลือกหลากหลาย 3 ทางเลือกตั้งแต่ รุ่นเริ่มต้น Standard Range ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยแบตเตอรี่ที่มีความจุ 61.44 kWh วิ่งได้ 510 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC หรือ 460 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP กำลังสูงสุด 204 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.5 วินาที
รุ่น Extended Range ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) พร้อมความจุแบตเตอรี่ 82.56 kWh กำลังสูงสุด 313 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 650 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC หรือ 570 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.9 วินาที
รุ่นท็อปสุด Extended Range AWD Performance มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความจุแบตเตอรี่ขนาด 82.56 kWh กำลังรวมสูงสุด 530 แรงม้า กับ แรงบิดสูงสุดระดับ 670 นิวตันเมตร โดยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ากำลัง 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตรและมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 580 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC หรือ 520 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP แถมให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 3.8 วินาที
ทั้งสามรุ่นรองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging) : 30-80% ภายในเวลา 30 นาทีรองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 110 kW ในรุ่น Standard Range ส่วนรุ่น Extended Range และ Extended Range AWD รองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging) : 30-80% ภายในเวลา 26 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 150 kW และชาร์จช้า AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 7 kW ทุกรุ่น
ยังมีเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้และช่วงล่างอิสระสี่ล้อพร้อมความปลอดภัยขับเคลื่อนโดยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ระบบความปลอดภัยที่มาอย่างครบครันออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยง ได้แก่ ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Stop and Go, ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW), ช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB), ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKS), ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและหลัง (PCW, RCW), ช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD), ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA, RCTB), ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP), ช่วยควบคุมฉุกเฉินให้รถอยู่ในช่องทางเดินรถ (ELKA), ช่วยเตือนการชนเมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ (LCW), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด, ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS), จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX, เสริมแรงเบรกอัจฉริยะ, เบรกป้องกันล้อล็อก (ABS), ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC), ป้องกันการลื่นไถล (TCS), ควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD) กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา
การเปิดตัว BYD SEAL จะเปิดตัว 28 กันยายนนี้แต่จะเป็นวันไหนนั้นต้องติดตามอีกครั้งทางด้านราคาจำหน่ายแน่นอนว่าถ้ามาไทยอาจอยู่ราวๆ 1,3xx,xxx-1,7xx,xxx บาท โดยอ้างอิงจาก ฮ่องกง จะขายสามรุ่นย่อยดังนี้
- Standard Range Dynamic: HK$309,000 หรือราว 1,379,000 บาท
- Extended Range Premium: HK$349,000 หรือราว 1,555,000 บาท
- AWD Performance: HK$376,000 หรือราว 1,675,000 บาท