ในที่สุด MG ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ MG ES สเตชันแวกอนขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วน MG ร่างที่สองของ MG EP
MG ES เป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ทั้งคัน หรือ Big Minor Change ชนิดลบภาพเดิมๆของรุ่น EP เน้นความสปอร์ตขึ้นเท่ขึ้นแถมพัฒนาขุมพลังไฟฟ้าให้แรงขึ้นและวิ่งไกลขึ้นกว่าเดิม ภายนอกออกแบบใหม่หมดตั้งแต่กระจังหน้าทรงทึบปรับขนาดให้เล็กลงขนาบข้างด้วยไฟหน้า Projector แบบ LED ควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL ออกแบบช่องเสียบใหม่ที่มองเห็นชัดเจนขึ้นในชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ตแบบสามเหลี่ยม โลโก้ MG ย้ายไปอยู่บนฝากระโปรงหน้าและ ฝาปิดห้องเครื่องด้านหน้า
ล้ออัลลอยลายใหม่ทูโทนขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/50R17 กระจกมองข้างพับและปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว กับกรอบหน้าต่างโครเมียม ราวหลังคารองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม ด้านท้ายใหม่ด้วยไฟท้าย LED โฉมใหม่แบบ Light Curtain Design พร้อมกันชนหลังออกแบบใหม่และมีช่องเล็กๆทรงสามเหลี่ยมคล้ายกับด้านหน้าและสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
ตัวรถมาในร่างสเตชันแวกอน 5 ประตู มีความยาว 4,600 มม. ความกว้าง 1,818 มม. ความสูง 1,543 มม. ระยะความยาวฐานล้อ 2,665 มม. และ ระยะต่ำสุดจากพื้น 115 มม.
ภายในใหม่หมดเรียบหรู กว้าง พร้อมดีไซน์โทนสีฟ้า ENERGETIC BLUE STRIP กับแผงคอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่หมดตั้งแต่มาตรวัดดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) จอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.25 นิ้วเชื่อมต่อความบันเทิงเต็มรูปทั้ง Apple Car Play Android Auto Bluetooth กับลำโพง 6 จุด พร้อมช่องต่อ USB 4 จุด ทั้ง TYPE-A และ TYPE- C เครื่องปรับอากาศแบบดิจิตัล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน ปรับ 4 ทิศทาง
รวมถึง i-SMART ทำให้ทุกการเชื่อมต่อในรถง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตรวจสอบสถานะรถยนต์ และระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์ขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ สั่งการ ค้นหารถ Find My Car ตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ และ กุญแจดิจิตอล กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ และ กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart key) พร้อมปุ่ม Push Start
เบาะนั่ง 5 ที่นั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ออกแบบใหม่สไตล์ทูโทน DENIM TEXTURE DESIGN ในส่วนตอนหน้าแบบ Zero-G Seats รองรับสรีระของผู้นั่ง กับความสามารถในกระจายน้ำหนัก ทำให้นั่งสบายตลอดเส้นทางปรับด้วยระบบไฟฟ้าด้านคนขับ 6 ทิศทาง และคนนั่ง 4 ทิศทาง ส่วนตอนหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 เมื่อพับจะมีพื้นที่มากถึง 1,367 ลิตร (ไม่พับเบาะ 479 ลิตร) และที่ปิดห้องเก็บสัมภาระท้าย
ขุมพลังไฟฟ้าพัฒนาใหม่ด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) ให้กำลังมากถึง 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร สามารถวิ่งในระยะทาง 412 กม./ชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC (NEW EUROPEAN DRIVING CYCLE)
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Single Speed มีรูปแบบการขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport พร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) สามารถชาร์จในระหว่างขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) สามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับ ได้ถึง 3 ระดับ
ประสิทธิภาพการทำงานเต็มเปี่ยมด้วยระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้ใช้งานต่อเนื่องได้ดียิ่งขึ้น และมีน้ำหนักเบาลง 22% กับชุดแบตเตอรี่ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง DC (0% – 80%) ใช้เวลา 40 นาที กำลังชาร์จสูงสุด 87 kW และการชาร์จไฟบ้านแบบ AC 0-100% ใช้เวลา 7.15 ชม. กำลังชาร์จสูงสุด 6.6 kW ผ่าน MG HOME CHARGER
พร้อมระบบจ่ายกระแสไฟ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์ มาพร้อม ช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION ที่ให้การทรงตัวที่ดี ผสานกับระบบช่วงล่างหน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโครง และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม
ความปลอดภัยที่ครบครันอุ่นใจ สบายใจทุกการเดินทางด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) แลติดตั้งความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อม ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 20 ระบบ ได้แก่
ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold), ป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD,เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist), ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control), สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System), ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist), ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning), จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX 2 จุด, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ, สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และ กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
MG ES มาพร้อมสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) สีเทา (Andes Gray) สีแดง (Scarlet Red) และ สีเงิน (Champagne Silver) เปิดราคาอย่างเป็นทางการโดยหักส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐอยู่ที่ 959,000 บาท (จากเดิม 1,200,000 บาท) และส่งมอบตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป