กลุ่มตลาดรถลักชัวรีแวนเมืองไทยได้ต้อนรับสมาชิกใหม่จากแดนมังกรที่เข้ามาแบบเทหน้าตักอย่างสมบูรณ์แบบอย่าง MG MAXUS 9 จากเมืองจีน
การมาครั้งนี้ตั้งใจมาถล่มคู่แข่งทั้งจากแดนยุ่น แดนกิมจิ และยุโรปค่าตัว 2 ล้านบาทขึ้นไปไม่ว่าจะเป็น Toyota Alphard Toyota Vellfire Lexus LM, Mercedes-Benz V-Class และ VITO และ Volkswagen Caravelle, Hyundai Staria กับ KIA Carnival โดยส่วนมากจะเป็นแบบเครื่องยนต์สันดาปแต่ MG MAXUS 9 มาแปลกมาด้วยพลังไฟฟ้าล้วน 100 % e-MPV เบสอินคลาสหนึ่งเดียวในกลุ่มโดยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Bangkok Motor Show 2023 ที่ผ่านมาจนมียอดจองล้นหลามกว่า 1,159 คันและส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยตั้งแต่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาและทาง Car2Day ได้มัโอกาสทดสอบลักชัวรีแวนพลังไฟฟ้ากับเส้นทางไปกลับ กรุงเทพฯ-เขาใหญ่
Design & Exterior & Dimension
MG MAXUS 9 นำพื้นฐานของ MAXUS MIFA 9 หรือ LDV MIFA 9 เข้ามาขายในไทยแปะตรา MG หรูหราด้วยการดีไซน์ออกแนวเท่กับขอบฝากระโปรง กระจังหน้าปิดทึบ พร้อมชุดไฟ LED เริ่มที่ไฟหน้า full LED adaptive headlights ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime พร้อมไฟเลี้ยวในตัว กันชนหน้าขึ้นรูปรับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ ไฟหน้า LED ทรงแนวตั้ง พร้อมชุดตกแต่งโครเมียมที่ขอบกระจังหน้า ขอบกระจก คิ้วชายล่างประตู คิ้วกันชนหลัง ไฟท้ายดีไซน์แนวยาว LED ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า
ฝากระโปรงรถต้องเปิดสองรอบเปิดมาเป็น ฝาครอบเครื่องพร้อมช่องเก็บสัมภาระวางของใส่ไม่มากเท่าไหร่ หลังคารถแบบพาโนรามิกซันรูฟคู่ Dual Panoramic Sunroof ที่เปิดทั้งแบบสไลด์และกระดกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า ล้ออัลลอยลายสุดล้ำขนาด 19 นิ้ว สไตล์ aerodynamic พร้อมยางแบบ Run Flat 235/55R19 มิติตัวรถมีความยาว 5,270 มม. ความกว้าง 2,000 มม. ความสูง 1,840 มม. ฐานล้อ 3,200 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 140 มม. และน้ำหนักรถ 2,535 กก. ซึ่งดูๆไปแล้วก็ใหญ่กว่า Alphard และ Vellfire อยู่นิดหน่อย
Interior & Convenience
ภายในล้ำอนาคตกับแผงคอนโซลแบบ Double Layer หน้ามีจอสัมผัสขนาดใหญ่ลากเป็นแนวยาวซึ่งจะมีปุ่มที่จำเป็นต่อการใช้งานไม่มากมายเท่าไหร่เพราะส่วนมากจะไปอยู่ในระบบความบันเทิงแบบจอสัมผัส 12.3 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto ผ่าน QD Link พร้อมลำโพง 12 จุด ช่องเชื่อมต่อ USB 9 จุด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน มาตรวัดดิจิตอล 7 นิ้ว กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติเป็นกล้องมองด้านหลังผ่านจอที่กระจกได้แบบ Streaming Media Rearview Mirror ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระสามจุดทั้งด้านหน้าซ้าย-ขวา และบริเวณด้านหลังหลังแบบอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะพร้อมระบบ Push Start และที่ชาร์จมือถือไร้สาย
เบาะนั่งหรู 7 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางและฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางมีระบบอุ่นเบาะ ระบายอากาศ นวดเพื่อผ่อนคลาย เช่นกันกับเบาะนั่งแถวที่สองในรุ่น V แบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวดเบาะอุ่นและระบายความร้อนควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์ โต๊ะพับสามารถใช้งานหลากหลายจะวางโน้ตบุ๊ควางไอแพด หรือเซนต์งานเอกสารได้ตามสะดวกที่วางแก้ว ช่องเสียบ USB และเบาะนั่งตอนที่สามนั่งได้แบบสามที่นั่ง ปรับเลื่อนและพับได้สามารถขนได้ตามใจชอบ ทั้งสามตอนตกแต่งด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายขาว มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light อย่างอบอุ่นถึง 64 สีและช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V เบาะนั่งในส่วนของคนขับกับผู้โดยสารออกแบบโครงเบาะให้นั่งสบายโอบกระชับทุกการเดินทาง ส่วนเบาะหลังตอนสองแบบ VIP ออกแบบให้อยู่ตำแหน่งค่อนข้างสูงกว่าชุดเบาะคู่หน้าและถ้าเมื่อยหรือก็จะมีระบบนวดโดยทำงานครั้งหนึ่งครึ่งชั่วโมง
สำหรับความพิเศษของรคันนี้ที่ไม่ใช่เพียงชุดเบาะนั่ง VIP Captain Seat นั่นก็คือจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้วที่นอกจากมีระบบความบันเทิงแล้วยังมีระบบควบคุมการทำงานของตัวรถทั้งคันไม่ว่าจะเป็นการเปิดปิดหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ กระจกไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ การตั้งค่าตัวรถ เบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold แม้กระทั่งไม่อยากให้รถดับขนาดจอดก็สามารถเข้าไปกดปุ่ม Temporary Parking ซึ่งทั้งหมดสามารถดูได้จากคลิ๊ปใต้ข้างล่าง
Power & Transmission
ลักชัวรีแวนขุมพลังไฟฟ้าคันนี้ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion จัดวางแบบ Cell To Pack ที่ให้ความจุ 90 Kwh ให้แรงม้าสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร โดยชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 540 กม. (NEDC) พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดทั้ง โหมด Normal, Eco และ Sport มีทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 kW ชาร์จ 5-100 % ในเวลา 8.30 ชม. และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% ในเวลา 30 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 120 kWh คู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed ขับเคลื่อนล้อหน้า
Handling & Ride
ตลอดการเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ตั้งแต่ CDC เลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ขึ้นทางด่วนไปลง MotorWay หมายเลข 9 ไปจนถึงถ.พหลโยธิน ไปโชว์รูม MG สระบุรี ออโต้เฮาส์ และไปถึง ถ.ธนะรัชต์ เขาใหญ่ เริ่มจากเป็นผู้ขับต้องยอมรับว่าทัศนวิสัยการมองเห็นส่วนหน้ามองเห็นอย่างชัดเจน การเร่งแซงด้วยพลัง 245 แรงม้าสร้างกำลังได้ฉับไวหวือหวานิดๆแต่ความเร็วสูงขึ้นเขาไปอย่างสบายๆ รถคันนี้มีระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) หรือจะเรียกว่า One Pedal ตัวรถจะหน่วงเองโดยอัตโนมัติในเวลาเบรก ซึ่งผมเองนั้นใช้ KERS แบบ 2 ซึ่งจะเบรกแบบนุ่มนวล ส่วนโหมดการขับขี่สามโหมดกลับชอบโหมด Normal ที่ไปแบบเรื่อยๆไม่ต้องรีบมากมาย โดยรวมการขับขี่สมรรถนะอาจคล้ายๆกับคู่แข่งตัวเอ้เครื่องสันดาป V6 3.5 ลิตร
ช่วงล่างของรถคันนี้เป็นแบบอิสระ 4 ล้อช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์โดยตลอดการขับขี่นั้นให้ความนุ่มนวล เฟิร์มแต่แอบกระด้างเล็กน้อยซึ่งถือว่าดีกว่าคู่แข่งอย่าง Toyota Alphard ที่เน้นความนุ่มย้วยและสลับมาเปลี่ยนเป็นผู้โดยสารตอนที่สองแบบ VIP ขากลับเข้ากรุงเทพฯ ยังนั่งแบบสบายๆไม่โคลงตัว ยาง Run Flat ยังให้ความเงียบอยู่พอสมควร พร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า EPS ที่น้ำหนักสุขุมไม่หนักมากเลี้ยวกลับรถแบบม้วนเดียวจบ ระบบห้ามล้อมาแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ประสิทธิภาพน้ำหนักในการกดแป้นมากขึ้นถึง 20 % ระยะการเบรกสั้นลงทันใจโดยผสานทั้งเบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD
Safety & Feature
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ MG MAXUS 9 มาครบติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 25 ระบบ ได้แก่
ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame), เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold), ป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution), เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control), สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System)ซึ่งจะอยู่บริเวณเสา A ด้านคนขับในรูปแบบชุดกล้อง, ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control),
ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist), ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา (LCA/ BSD/ RCTA/ DOW), จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง
ด้วยความเป็นลักชัวรีแวนไฟฟ้าหนึ่งเดียวให้พลังความจัดจ้านเทียบเท่าคู่แข่งเครื่องเบนซิน V6 ได้อย่างชิวๆ เบาะนั่งนั่งสบายทั้งสองตอนมีระบบนวดช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าในการเดินทางตลอดเส้นทางแต่เสียดายที่ว่าสิ่งที่รวมฟังก์ชันการทำงานทุกอย่างนั้นกลับไปอยู่ในจอสัมผัสแทบทั้งหมดแม้กระทั่งปุ่มเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold โดยมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้งานกลับไปอยู่ในจอซึ่งลำบากในการใช้งานค่อนข้างมากถึงแม้จะขับและนั่งในช่วงเวลาสั้นๆไป-กลับเกือบ 400 กม. และถ้ามีโอกาสจะนำมาทดสอบเดี่ยวอีกครั้งแบบเต็มรูปแบบ แต่ด้วยราคา 2,699,000 บาท และเป็นรุ่นที่มีคนจองเยอะที่สุดพรั่งพร้อมเพียบพร้อมเหมาะกับการเป็นออฟฟิศเคลื่อนที่ขับเคลื่อนความสำเร็จได้อย่างเต็มรูปแบบกับ MG MAXUS 9 รุ่น V โดยมี 3 สี ได้แก่ สีขาว (Pearl White) สีดำ (Black Knight) สีเทาหลังคาดำ Granite Grey / Black Top
ขอขอบคุณ เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) ที่เชิญทีมงาน Car2Day เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถ MG MAXUS 9