ในที่สุด Toyota Motor ประเทศไทยเปิดตัวอย่างเป็นทางการและเป็นการเปิดตัวก่อนผู้นำเข้าอิสระกับเจเนอเรชันที่ 4 Toyota Alphard
Toyota Alphard รหัส AH40 เป็นการปรับโฉมทั้งคันในรอบ 8 ปี และเป็นรุ่นที่ Toyota Motor Thailand นำเข้ามาจำหน่ายเองขายเฉพาะรุ่น Hybrid HEV อย่างเดียวไม่มีรุ่นเครื่องยนต์สันดาปล้วนขายอีกต่อไป ด้วยหน้าตาที่นำพื้นฐานจาก Lexus LM เจเนอเรชันที่สองปรับสไตล์เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ กระจังหน้าโครเมียมพร้อมโลโก้สามห่วงครั้งแรกที่นำมาใช้ใน Alphard ไฟหน้าแบบ LED Projector 3 ดวง พร้อมไฟ Daytime Running Lights แบบ LED ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ไฟเลี้ยวหน้า-หลังแบบวิ่ง Sequential ชุดกันชนหน้า-กันชนหลังดีไซน์หรู
ด้านข้างมีเอกลักษณ์ด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร Alphard และตราโลโก้เฉพาะ บริเวณประตูคู่หน้าตรงเสา B เสริมคิ้วโครเมียมเด่นทั้งกรอบกระจกทุกส่วน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ทรงสปูน ที่เปิดประตูโครเมียมแบบดึงก้านออกแบบหลุมก้านเปิดประตูให้เรียบเนียนกับตัวถัง
ชุดแผงป้ายทะเบียนท้ายติดตรา Alphard ที่ออกแบบเว้นช่องว่างของตัวอักษรให้สวยงาม ข้างบนของชุดแผงป้ายทะเบียนติดตราสามห่วงไว้สองฝั่ง ไฟท้าย LED แบบเป็นเกล็ดเสริมขอบโครเมียมไว้กรอบไฟท้ายและไฟตัดหมอกหลัง ฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ควบคุมบริเวณไฟท้าย ประตูสไลด์ 2 บาน เปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า หลังคามูนรูฟแบบ Twin Moonroof 2 บานตรงกลางซ้าย-ขวา ล้ออัลลอยมีให้เลือกถึง 2 ขนาดตั้งแต่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/65R17 ขนาด และใหญ่สุด 19 นิ้ว พร้อมยาง 225/55R19 พิเศษ! สัญลักษณ์ Executive Lounge สำหรับรุ่น HEV Luxury
ตัวรถสร้างจากพื้นฐาน TNGA (GA-K) ใหญ่ขึ้นทุกมิติตั้งแต่ความยาว 5,010 มม. ความกว้าง 1,850 มม. ความสูง 1,950 มม. ฐานล้อ 3,000 มม.ระยะต่ำสุดจากพื้น 150 มม. และความจุถังน้ำมัน 60 ลิตร
ภายในอลังการกับงานออกแบบที่หรูหราตอบโจทย์ผู้นำเริ่มที่รุ่น HEV ภายในเลือกได้สองสีทั้งสีเบจ Neutral Beige (สำหรับสีรถภายนอก Platinum White Pearl และ Black) กับ สีดำ Black (สำหรับสีรถภายนอก Precious Metal) ในรุ่น HEV Luxury เลือกภายในได้สองสีทั้ง สีภายในสีดำ Black (สำหรับสีรถภายนอก Platinum White Pearl และ Black) และสีภายในสีน้ำตาล Sunset Brown (สำหรับสีรถภายนอก Precious Metal)
ชุดแผงคอนโซลหน้าบุด้วยหนังสัมผัสเดินด้ายอย่างประณีตตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Uzuramoku ในรุ่น HEV Luxury เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ 4 โซนพร้อมระบบฟอกอากาศ Nanoe X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้าและตอนหลังเฉพาะรุ่น HEV Luxury ชุดเบาะนั่งหุ้มหนังแท้ Premium Nappa เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้าโดยด้านคนขับปรับได้ 8 ทิศทางพร้อมระบบความจำ 3 ตำแหน่งและผู้โดยสาร 4 ทิศทางในทุกรุ่น ในรุ่น HEVชุดเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่สองดีไซน์หรูโอบกระชับกว่าเดิมปรับไฟฟ้า 10 ทิศทางพร้อมเบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet 5.5 นิ้ว ในรุ่น HEV
ในรุ่น HEV Luxury มาพร้อมเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองแบบ Executive Lounge แยกอิสระปรับได้ 10 ทิศทาง เบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet 5.5 นิ้ว พร้อมโต๊ะส่วนตัวแบบพับได้ตกแต่งลายไม้ Uzuramoku
เบาะนั่งผู้โดยสารตอนที่สามนั่งได้สามที่นั่งสามารถพับได้แบบ 50/50 Smart Comfort Program สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสอง จอสัมผัสขนาดใหญ่ตั้งแต่ 14 นิ้ว เชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay ไร้สาย และ Andorid Auto รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอป T-Connect และระบบนำทาง มาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านออกแบบใหม่หุ้มหนังปรับสูง-ต่ำ ใกล้-ไกล 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า จอแสดงข้อมูลการขับขี่เหนือแผงคอนโซลหน้า Head-Up Display คอนโซลด้านบนห้องโดยสารแบบ Super-long Overhead Console พร้อมจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 14 นิ้ว
ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า ไฟสร้างบรรยากาศแบบ Ambient Illumination Light 64 สีบนหลังคา ลำโพงคุณภาพพรีเมียม JBL 15 จุด ช่องชาร์จแบบเสียบสายผ่าน USB ด้านหน้า 3 จุดและด้านหลัง 4 จุด ที่ชาร์จมือถือไร้สายและเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold
ขุมพลังที่จำหน่ายนั้นมีเพียงขุมพลังเดียวนั่นคือเบนซิน Hybrid Dynamic Force รหัสใหม่ A25A-FXS 2.5 ลิตรให้กำลังถึง 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 238 นิวตันเมตร ที่ 4,300-4,500 รอบ/นาทีในภาคเครื่องยนต์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าแบบ 5NM ให้กำลัง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าหลังแบบ 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Hybrid แบบ Nickel-Metal ทำงานร่วมกันได้กำลังสูงถึง 250 แรงม้าแรงบิด 315 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อมโหมดการขับขี่ถึงสามโหมดทั้ง EV, Normal และ ECO ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ E-Four
พร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังอิสระ Double Wishbone เสริมเหล็กกันโคลงหน้า-หลังและตัวค้ำโช้คเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนเสริมด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าที่มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9 ม.และระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ทั้ง เตือนการชนด้านหน้า Pre-Collision System (PCS) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบเรดาห์ All-Speed Dynamic Radar Cruise Control (DRCC) พร้อมหยุดและเคลื่อนรถอัตโนมัติและลดความเร็วอัตโนมัติขณะเข้าโค้ง เตือนรถออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ Lane Departure Alert (LDA) ช่วยให้รถอยู่ตรงกลางเลน Lane Tracing Control (LTA)
เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam (AHB) ไฟสูงปรับการกระจายแสงอัตโนมัติ Adaptive High Beam System (AHS) เตือนจุดมุมอับสายตา Blind Spot Monitoring (BSM) เตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) เตือนขณะออกจากรถ Safe Exit Assist (SEA) กระจกมองหลังแบบดิจิทัล เซนเซอร์รถอัจฉริยะสามารถเบรกอัตโนมัติเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง Intelligent Clearance Sonar ถุงลมนิรภัยรอบคัน กล้องมองภาพรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor) สัญญาณกะระยะการจอดหน้า-หลัง รวม 4 ตำแหน่ง
Toyota Alphard มีสีภายนอกเลือกถึง3 สีทั้งสีดำ Black, สีขาวมุก Platinum White Pearl และสีเทา Precious Metal มีด้วยกันถึงสองรุ่นย่อยพร้อมราคาดังนี้
- รุ่น HEV Luxury ราคา 4,499,000 บาท
- รุ่น HEV ราคา 4,129,000 บาท
ข้อเสนอสุดพิเศษแพ็กเกจขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี (ช่วงปีที่ 6-10) พร้อมรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ขยายระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม.เมื่อเข้าเช็กระยะตามกำหนด พร้อมฟรีค่าแรงเช็คระยะจนถึง 100,000 กม.