AION บุกตลาดเต็มรูปแบบหลังสร้างความสำเร็จอย่างงดงามจาก AION Y PLUS ปรับราคาไม่เกินล้านมียอดจองถล่มทลายและพร้อมมองหากลุ่มใหม่ๆกับ AION ES
รุ่นล่าสุดของค่าย AION อย่าง AION ES สามารถตอบโจทย์กลุ่มที่ต้องการรถใช้งานง่ายๆออปชันพอเพียงไม่ต้องเลิศหรูในร่างเก๋งซีดานขนาดคอมแพ็คมาชนตรงๆกับ Toyota Corolla ALTIS 1.6 ลิตร ความตั้งใจในการทำตลาดนอกจากเจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไปใช้งานส่วนตัวและกลุ่มองค์กร บริษัทห้างร้าน แบบ Fleet ซื้อทีหลายคันแล้วยังขยายฐานไปยังกลุ่มรถโดยสารสาธารณะหรือ TAXI ปลดระวางการใช้งานจากสันดาปพ่วงก็าซ LPG หรือ NGV ครั้งนี้ Car2Day ได้รับเกียรติจาก EV Me ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในไทย และ ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) กับ โกลด์ อินทิเกรท ได้ทดลองขับสั้นๆ
หน้าตาโดดเด่นสปอร์ตโฉบเฉี่ยวซึ่งเป็นการนำพื้นฐานตัวรถ AION S Plus ปรับเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุดด้วยไฟหน้า LED ทรงลูกศรในชุดกันชนหน้าและกระจังหน้าชิ้นเดียวกัน ตราโลโก้ GAC AION กระจกมองข้างทรงสปูน เด่นด้วยกระจกโอเปร่าสไตล์ยุโรปและด้านท้ายยาวด้วยไฟท้าย LED คาดคิ้วสีเดียวกับตัวรถกันชนท้ายทรงตัวยูและล้อและยางจากโรงงานขนาด 17 นิ้ว หุ้มยางขนาด 215/55R17 ตัวรถสร้างจากพื้นฐานแพลต์ฟอร์ม EV AION ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd=0.211 มีขนาดตัวถังเริ่มที่ ความยาว 4,810 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,880 มิลลิเมตร ความสูง 1,545 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากใต้ท้องรถ 120 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,665 กิโลกรัม
ภายในแน่นอนว่าให้ข้าวของสมราคาตั้งแต่คอนโซลหน้าสีดำเข้มๆมีปุ่ม Push Start ที่เรียกว่าเข้ามาใช้งานง่ายแบบเดียวกับรถยนต์สันดาป ใส่ออปชันมาตรฐานทั้ง มาตรวัดความเร็วพร้อมจอ TFT สีขนาดเล็ก 3.5 นิ้วคั่นกลางระหว่างมาตรวัดความเร็วและการทำงานของพลังแบตเตอรี่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 2 ก้านพร้อมปุ่มควบคุมระบบล็อกความเร็ว Cruise Control และควบคุมการทำงานของจอสัมผัสและจอมาตรวัด หน้าจออินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมลำโพง 2 จุด และช่องเสียบ USB
ถัดลงมาเป็นช่องแอร์แนวนอนสองฝั่ง ถัดลงมาเป็นเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา คอนโซลกลางคับคั่งด้วยสวิตช์ควบคุมเกียร์แบบปุ่มหมุนในปุ่มมีปุ่มกด P มีเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold ด้านซ้ายเป็นที่วางแก้วขนาดใหญ่สองช่อง พร้อมที่ท้าวแขนขนาดพอดีหุ้มหนังสัมผัสสีดำท้าวแขนสบายๆ
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ด้วยโทนสีดำและเบาะหนังสังเคราะห์สีดำเแบบ 5 ที่นั่งปรับสูงต่ำได้ในฝั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 60/40 มีช่องแอร์ด้านหลังและช่องเสียบ USB 2 ช่อง โดยมีพื้นที่ด้านท้ายถึง 450 ลิตร และได้เปรียบที่ว่าด้านหลังมีพื้นที่วางขาที่เรียบไม่เป็นอุโมงค์วางขาสองฝั่งเรียกว่าสมารถขยับตัวไปยังอีกฝั่งได้สบาย
ขุมพลังใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 55.2 kWh แบบ LFP ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 12.1 วินาที สามารถวิ่งได้ไกลหลังจากชาร์จเต็มทำระยะทางสูงสุด 442 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ AC รองรับสูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จไฟ 0-100% ภายใน 6 ชั่วโมง และชาร์จไฟกระแสตรง DC รองรับสูงสุด 75 กิโลวัตต์ ชาร์จจาก 0-80% ภายใน 40 นาที โหมดการขับขี่สามโหมด Normal, ECO, Sport
ด้วยข้อจำกัดของสนามทดสอบเฉพาะหน้าห้าง Bravo BKK หรือ Show DC เดิม จึงทดสอบเพียงสองรอบเริ่มที่ลองทางตรงด้วยอัตราเร่งจาก 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกำลังของรถคันนี้อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจไม่ปรู๊ดปร๊าด ตอบสนองกลางๆ มาที่สนามสลาลอมไม่ว่าจะขับความเร็วต่ำ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเพิ่มมาอีก 30-40 กิโลเมตรต่ชั่วโมง พวงมาลัยพาวเวอร์แม้เป็นไฟฟ้าให้น้ำหนักเบาคล่องมือออกหน่วงเล็กน้อยและถ้าเพิ่มความเร็วมาอีกต้องออกแรงสาวพวงมาลัยมากกว่าเดิม เสียอย่างเดียวคือตัวพวงมาลัยปรับได้แค่สูง-ต่ำ 2 ระดับไม่สามารถปรับใกล้-ไกลได้จนต้องปรับตำแหน่งเบาะให้เหมาะสมกับสรีระจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับท่านั่ง
ตลอการขับขี่ทั้งสองรอบได้ลองใช้โหมดการขับขี่ไม่ว่าจะโหมด Normal กับ Sport แต่ก็แทบไม่ได้รู้สึกอะไรว่ามันเร็วมันฉับไว และยังมีระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้ากลับจากการเบรกปรับได้สามส่วน และ I-Pedal ออกหน่วงเล็กน้อยเมื่อใช้งาน มากันที่สถานีเปลี่ยนเลนหรือ Lane Change ทดสอบช่วงล่างพื้นฐานช่วงล่างคันนี้เป็นแบบด้านหน้าอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบคานแข็งหรือทอร์ชันบีมพอมาอยู่ในรถคันนี้เซ็ตช่วงล่างมาคนละแบบโดยช่วงล่างหน้าเซ็ตมาแบบตึงๆแข็งๆในช่วงการขับขี่แต่พอมาสลับเป็นคนนั่งด้านหลังแม้เป็นคานแข็งกลับให้ความนุ่มนวลทันตาเห็นและถ้าหากซื้อมาเสริมการขับขี่ที่ดีขึ้นต้องปรับเช็ตด้านหน้าให้สมดุลกับด้านหลังคือการเพิ่มความนุ่มเทียบเท่าด้านหลัง
ด้านความปลอดภัยให้มาแบบพื้นฐานที่ทุกยี่ห้อและทุกรุ่นมีกันทั้งดิสก์เบรกสี่ล้อทำงานร่วมกันระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรกแบบไฮดรอลิก HBA ควบคุมการทรงตัว ESP ช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HHC กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะ Lane Guide สัญญาณกะระยะการจอดด้านหลัง จุดยึดที่นั่งสำหรับเด็ก ISOFIX ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ตรวจวัดแรงดันลมยาง TPMS
ปัจจุบันมีรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนในระบบขนส่งกว่า 85,000 คัน ทำให้ภาคส่วนนี้มีการปล่อยก๊าซฯ มากกว่าปีละ 500,000 ตัน นอกจากนี้ต้นทุนค่าพลังงานของผู้ใช้รถแท็กซี่ยังมีอัตราสูง การส่งเสริมการใช้ EV ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน ยังช่วยสนับสนุนการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
การมาของ AION ES เวอร์ชันแท็กซี่นับเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเจ้าของกิจการสหกรณ์แท็กซี่ไว้ซื้อหลายคันเพื่อปล่อยเช่าหรือซื้อมาเป็นแท็กซี่ส่วนบุคคลทดแทนรุ่นเก่าที่กำลังจะปลดระวาง และเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถโดยสารสาธารณะในอนาคต ในราคา 929,900 บาทรวมอุปกรณ์ตกแต่ง Smart Taxi ทั้งระบบไม่ว่าจะเป็น มิเตอร์ ระบบ GPS ป้ายไฟแท็กซี่ มีระบบติดตามรถ กล้องถ่ายภาพนิ่ง เครื่องระบุตัวตนผู้ขับขี่ ระบบมิเตอร์ และปุ่มฉุกเฉิน เพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร ตามมาตรฐานของกรมขนส่งทางบก พร้อมการรับประกันแบตเตอรี่ 9 ปี หรือ 900,000 กิโลเมตร ประกันภัยชั้น 3 โดยสามารถเข้าศูนย์บริการ Fit Auto 94 แห่งทั่วประเทศขายผ่านทาง EVme Plus ในเครือ ปตท.
และมีเวอร์ชันรถบ้านๆ 850,000 บาท กับการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร พร้อมของแถมพื้นฐานทั้ง Home Charger พร้อมติดตั้งพรมปูท้าย กรอบป้ายทะเบียน จดทะเบียน โดยของแถมพื้นฐานเหล่านี้เวอร์ชันรถแท็กซี่ได้เช่นกันมีทั้งหมด 4 สีทั้งสีขาว Pure White สีบรอนซ์เงิน Speedy Silver สีดำ Glamour Black และ สีเทาHolographic Silver ขายผ่านทางสามผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งทั้ง เอไอโอนิค ออโต วีกรุ๊ป+โกลด์ อินทิเกรท วีกรุ๊ป และ ฮาโมนี่กรุ๊ป
