นับตั้งแต่ BYD ภายใต้การบริหารของ Rêver Automotive เตรียมเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในตระกูล Ocean ลำดับที่สามในไทยกับ BYD SEAL
กลายเป็นที่สนใจทำให้แฟนๆที่ชื่นชอบรถรุ่นนี้กำเงินจองพร้อมเป็นเจ้าของทันทีและก่อนที่จะเปิดราคากันในวันพรุ่งนี้ (28 กันยายน) เรามาทำความรู้จักกับเจ้าแมวน้ำสุดหรู BYD SEAL เป็นคู่แข่งของ TESLA Model 3 ด้วยดีไซน์หล่อล้ำอนาคต ตั้งแต่ไฟหน้า LED ชุดกันชนหน้าขึ้นรูปชิ้นเดียวมีกระจังหน้าปิดทึบอยู่ในชุดเดียวกัน กระจกแบบโอเปร่า ดีไซน์หรูหราดุจรถยุโรป เส้นสายของตัวถังที่ดูลื่นไหลนับตั้งแต่จมูกหน้ารถ แนวตัวถังด้านข้าง ต่อเนื่องไปจนถึงโคมไฟท้าย LED ที่วางแบบเต็มความกว้างท้ายรถติดตั้งดิฟฟิวเซอร์มาให้พร้อมสรรพจุดสังเกตของรุ่นท็อปสุดด้านท้ายจะมีตัวอักษรว่า AWD และ 3.8 S ติดที่ฝากระโปรงท้าย
พื้นที่วางของที่ฝากระโปรงหน้า 53 ลิตร ล้อสีทูโทนดีไซน์เอกลักษณ์ ให้เลือกทั้งขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 225/50R18 และขนาดใหญ่ 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45R19 จาก Continental SportContact สร้างบนพื้นฐาน e-platform 3.0 ความยาว 4,800 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,875 มิลลิเมตร ความสูง 1,460 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,920 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 120 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,922-2,185 กิโลกรัม และรัศมีวงเลี้ยว 5.7 เมตร
ห้องโดยสารเด่นทั้งเรื่องดีไซน์ตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน ทรงท้ายตัดพร้อมสันเพิ่มความกระชับให้กับอุ้งมือ มองลอดพวงมาลัยเป็นจอ Driver Display แสดงผลในรูปแบบดิจิตอล LCD 10.25 นิ้ว ถัดไปอีกเล็กน้อย คือ Head-up Display แสดงข้อมูลที่จำเป็นโดยที่ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนนเบื้องหน้าส่วนจอแสดงผล ระบบ Infotainment ขนาดใหญ่เต็มตาถึง 15.6 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple Car Play Android Auto รองรับ 5G มีระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ DiLink และลำโพง Dynaudio 12 จุด ที่ชาร์จมือถือไร้สายให้มาถึง 2 จุด รวมถึงหัวเกียร์คริสตัลรอบๆคันเกียร์รายล้อมด้วยปุ่มควบคุมการทำงานของจอสัมผัส เบาะนั่งทรงสปอร์ต หุ้มหนังอย่างประณีต มีช่องเก็บของหลายจุดสามารถวางแก้วน้ำ พื้นที่สัมภาระท้ายมีความจุ 400 ลิตรระบบการเข้าารถ และ สตาร์ทแบบ Keyless ทำงานร่วมกับกุญแจแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ NFC
ขุมพลังอีวีมีให้เลือกหลากหลาย 3 ทางเลือกตั้งแต่ รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังสองรุ่นเริ่มที่รุ่นเริ่มต้น Dynamic RWD ด้วยแบตเตอรี่ที่มีความจุ 61.44 kWh วิ่งได้ 510 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC กำลังสูงสุด 204 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 7.5 วินาที ขยับมาที่รุ่น Premium RWD พร้อมความจุแบตเตอรี่ 82.56 kWh กำลังสูงสุด 313 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 650 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5.9 วินาที
รุ่นท็อปสุด AWD Performance มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีความจุแบตเตอรี่ขนาด 82.56 kWh กำลังรวมสูงสุด 530 แรงม้า กับ แรงบิดสูงสุดระดับ 670 นิวตันเมตร โดยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ากำลัง 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 580 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แถมให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาที
ทั้งสามรุ่นรองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging แบบ CCS2) 30-80% ภายในเวลา 30 นาทีรองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 110 kW ในรุ่น Dynamic RWD ส่วนรุ่น Premium RWD และ AWD Performance รองรับการชาร์จเร็ว 30-80% ภายในเวลา 26 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 150 kW และชาร์จช้า AC แบบ Type 2 รองรับกำลังไฟสูงสุด 7 kW ทุกรุ่น ยังมีเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ นุ่มนวลถึงใจด้วยช่วงล่างอิสระสี่ล้อและระบบการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking)
พร้อมความปลอดภัยขับเคลื่อนโดยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ที่มาอย่างครบครันออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงได้แก่ ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Stop and Go ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW) ช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKS) ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและหลัง (PCW, RCW) ช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) ช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA, RCTB) ช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP) ช่วยควบคุมฉุกเฉินให้รถอยู่ในช่องทางเดินรถ (ELKA) ช่วยเตือนการชนเมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ (LCW) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้งถุงลมนิรภัย 9 จุดรอบคัน ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX เสริมแรงเบรกอัจฉริยะ เบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC) ป้องกันการลื่นไถล (TCS) ควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD) ควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC) และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา
BYD SEAL ขายทั้งหมดสามรุ่นย่อยทั้งรุ่น Dynamic RWD รุ่น Premium RWD และรุ่นท็อปสุด AWD Performance มีทั้งหมด 4 สีทั้งสีฟ้า Velocity Blue สีขาว Horizon White สีดำ Quantum Black และสีเทา Space Gray เตรียมเปิดตัวเปิดราคาจำหน่ายในวันที่ 28 กันยายนนี้ โดยค่าตัวอาจอยู่ราวๆ 1,3xx,xxx-1,7xx,xxx บาท อ้างอิงราคาจากสเปกฮ่องกงขายสามรุ่นย่อยดังนี้
- Standard Range Dynamic ราคา HK$309,000 หรือราว 1,379,000 บาท
- Extended Range Premium ราคา HK$349,000 หรือราว 1,555,000 บาท
- AWD Performance ราคา HK$376,000 หรือราว 1,675,000 บาท