นอกจากการเปิดตัว KIA EV9 รถไฟฟ้ารุ่นแรกของทาง KIA Sales Thailand แล้วยังมีอีกรุ่นที่เตรียมพร้อมจะขายไทยภายในปีนี้กับ KIA EV5
KIA EV5 รถใหม่ลำดับที่สามของตระกูล EV ต่อจากรุ่น EV6 และ EV9 ประเดิมขายจีนตั้งแต่ปี 2023 ถอดแบบมาจากต้นแบบผสมกับความเป็น EV9 รุ่นพี่ในร่างคอมแพ็คเอสยูวี ตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์แบบหน้าเสือ หรือ digital tiger face ทรงทึบรับกับคิ้วขอบกระจังหน้าในรูปแบบแถบไฟ LED รูปตัวแอล พร้อมไฟหน้า LED ซ่อนอยู่ข้างใน พาดยาวใต้โลโก้ KIA กับไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL แบบ LED รับกับกันชนหน้าดีไซน์เล่นระดับติดตั้งคิ้วใต้กันชนหน้าสีเงิน ซุ้มล้อสีดำดูทะมัดทะแมง คิ้วชายล่างประตูสีดำใส่คิ้วสีเงิน ที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียน กระจกมองข้างทรงปกติ พร้อมไฟเลี้ยว LED
ราวหลังคาเนียนเรียบกับหลังคารถ เสา A ไปจนถึงเสา C ตกแต่งด้วยสีดำและเสา D ขนาดใหญ่ทาด้วยสีเดียวกับตัวรถ ไฟท้าย LED แนวยาวเรียวทรงรูปตัวซี กันชนหลังลงตัวเสริมคิ้วสีเงินออกแนวบึกบึน สปอยเลอร์บนกระจกหลังดีไซน์ดุดัน เสาอากาศครีบฉลาม ฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า ล้ออัลลอยขนาดใหญ่เลือกได้ตั้งแต่ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 225/60 R18 ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/55R19 และใหญ่สุด 21 นิ้ว พร้อมยางขนาด 285/45R21
ตัวรถสร้างจากพื้นฐาน Electric Global Modular Platform (E-GMP) เป็นแพลตฟอร์มพัฒนาร่วมกับเพื่อนร่วมชายคาเดียวกันทั้ง Hyundai IONIQ 5 Hyundai IONIQ 6 Genesis GV60 และ KIA EV9 ตั้งแต่ความยาว 4,615 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,875 มิลลิเมตร ความสูง 1,715 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร และน้ำหนักรถ 1,870 กิโลกรัม
ภายในสบายแบบสองตอนห้าที่นั่ง เบาะนั่งตอนที่ 2 นั่งสบายพับได้แบบ 60/40 พร้อมพื้นที่สัมภาระท้ายจุของได้จุใจมีช่องเก็บของใต้พื้นตัวรถ คอนโซลหน้าดีไซน์แนวนอนพร้อมจอคู่ขนาดใหญ่แบบลอยตัวที่มีทั้งมาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้วและจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว และจอ Display 5 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ไร้สาย อัปเดทซอฟต์แวร์แบบ OTA พร้อม Kia Connect ระบบนำทางและตรวจสอบสถานะรถ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสี่ก้าน พร้อมปุ่มการใช้งานที่ง่ายๆ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมปุ่ม Auto Hold
ที่ชาร์จมือถือไร้สาย จอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า HUD ไฟสร้างบรรยากาศ ambient light มากถึง 64 สี เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาพร้อมแอร์หลัง มีระบบอุ่นเบาและยังสามารถสั่งสตาร์ทรถในระยะไกลได้ Remote Smart Parking
ขุมพลังไฟฟ้ามาพร้อมสองทางเลือกสองความแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เริ่มที่รุ่น Standard Range มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยความจุแบตเตอรี่แบบ Blade จากทาง BYD 58 kWh ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 530 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC
ส่วนรุ่น Long Range มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยความจุแบตเตอรี่ 81 kWh ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 720 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC และรุ่น Long Range AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้กำลังมากสุด 306 แรงม้า ด้วยการเพิ่มกำลังของมอเตอร์ล้อคู่หลัง 95 แรงม้า และมอเตอร์คู่หน้า 218 แรงม้า วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 650 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC จากความจุแบตเตอรี่ 81 kWh
ทั้งสามความแรงให้ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีทั้งแบบกระแสตรง DC ชาร์จเร็ว 30-80% ชาร์จเร็ว 27 นาที ส่วนการชาร์จกระแสสลับ AC ชาร์จช้า รองรับกำลังไฟในการชาร์จ 7 และ 11 kW โดยหัวชาร์จแบบ CCS Type 2 และ AC แบบ Type 2
สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้หลากหลายทั้งแบบ Normal Mode / ECO Mode / Sport Mode และ Smart Mode ช่วยเพิ่มความสนุกสนานและความสปอร์ตในการขับขี่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 1 speed Reduction Gear พร้อมระบบ i-Pedal – One Pedal Driving Function ยังชาร์จ V2L สามารถต่อกระแสไฟ จากรถยนต์ไปพ่วงใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆได้ และเทคโนโลยีความปลอดภัย DRIVE WiSE
รถยนต์รุ่นใหม่นี้นำเข้าจากจีนประกอบที่เมืองเหยียนเฉิง เตรียมเปิดตัวเปิดสเปกโชว์หล่อๆที่งาน Bangkok Motor Show 2024 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน แต่จะเปิดราคาในงานฯ หรือไม่ต้องติดตามถ้าเปิดคาดว่าค่าตัวอยู่ราวๆ 1,100,000-1,400,000 บาท
รุ่นนี้เป็นหนึ่งในสามรุ่นใหม่ของ KIA ต่อจากรุ่น EV9 และ Sorento หวังครองส่วนแบ่ง 5% ของตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เพิ่มการทำตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวให้มีสัดส่วนคิดเป็น 50% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบแบรนด์ที่มีการรับรู้สูงที่สุด 5 อันดับแรก และ ขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศให้เติบโตขึ้น 5 เท่าตัว ภายใน 5 ปี