ในที่สุด Mercedes-Benz ก็เผยวันเปิดตัวสุดยอดเก๋งซีดานยอดนิยมของค่ายอย่าง Mercedes-Benz E-Class เจเนอเรชันที่ 6 เสียที
Mercedes-Benz E-Class รหัส W214 จะมารับช่วงต่อจากเจเนอเรชันที่ 5 รหัส W213 ที่ทำตลาดมา 8 ปีกับภาพทีเซอร์เงาสีดำเห็นในส่วนของตัวรถด้านข้างที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รวมถึงข้อมูลอื่นโดยด้านหน้าถอดแบบมาจากรุ่นพี่รุ่นน้องในค่ายอย่าง Mercedes-Benz S-Class V223 และ Mercedes-Benz C-Class W206 เข้ามาผสมผสานจนเกิดเป็นความลงตัวหล่อด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมดีไซน์ลักชัวรีอันเป็นเอกลักษณ์เด่นค่ายนี้คล้ายๆกับรุ่นพี่ S-Class ขอบสีดำ
ประกบกับไฟหน้า Digital Light LED ทรงสวยแบบทรงปีกเมื่อเข้ามารวมกับกระจังหน้า รวมถึงที่เปิดประตูทรงเรียบเนียนกับตัวถังรถ และไฟท้าย LED ที่สวยงามพร้อมกันชนหลังดีไซน์เท่ กรอบท่อไอเสียคู่ 2 ฝั่ง
ภายในห้องโดยสารสวยหรูด้วยชุดแผงคอนโซลหน้าที่คล้ายละม้ายกับรถไฟฟ้าจาก Mercedes-EQ ประกอบด้วย หน้าจอมาตรวัดดิจิตอลความละเอียดสูงบริเวณด้านหน้าของผู้ขับขี่ขนาดใหญ่คาดเป็นขนาด 12.3 นิ้วแสดงผลคมชัด ภาพที่อ่านง่ายในทุกสภาพแสง สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ “Classic”, “Progressive” and “Sporty” พร้อม 3 โหมดการใช้งาน ได้แก่ Navigation, Assistance และ Service
หน้าจอกลาง Infotainment คาดเป็นขนาด 17.7 นิ้ว และหน้าจอสำหรับความบันเทิงฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า คาดว่าจะขนาด 12.3 นิ้ว รวมความยาวจอทั้ง 3 จุดรวมกัน โดยคอนโซลกลางมาพร้อมหน้าจอแบบสัมผัสแนวนอนขนาดใหญ่ทรงห้าเหลี่ยมที่ต่างจากรุ่นอื่นๆที่เป็นแนวตั้ง แบบ MBUX Superscreen รวมการทำงานของเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิกับระบบความบันเทิง MBUX (Mercedes-Benz User Experience) รุ่นล่าสุดเอาไว้ด้วยกันพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง
มีกล้องตรงคอนโซลกลางสำหรับจับพฤติกรรมการขับขี่แถมยังเป็น Video Conference สำหรับรองรับแอปพลิเคชัน Zoom และถ่ายเซลฟี่โชว์ความหล่อความสวยได้ เชื่อมต่อระบบความบันเทิงทั้ง Android Auto หรือ Apple CarPlay สามารถแสดงหน้าจอมือถือเข้าผ่านทางจอสัมผัสได้โดยตรงโดยไม่ต้องเชื่อมผ่านแอปมิเรอร์อีก
รวมถึงสามารถใช้แอปพลิเคชันหลากหลายในจอได้ไม่ว่าจะเป็น Angry Birds, TikTok, Zoom, และ Webex และยังสตรีมมิ่งแอปพลิเคชันเพื่อดูหนังฟังเพลงได้เช่นกัน พร้อมลำโพงคุณภาพ Burmester 4D ลำโพงรอบคัน 17 ตัว
พร้อมการตกแต่งทั้งไฟสร้างบรรยากาศภายใน 64 สี (Active ambient lighting) จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) เบาะหนัง Nappa ลายเพชร ตกแต่งลายไม้ Dark Ash แบบใหม่ที่มีแสงพื้นหลัง หากไม่ชินกับความหรูหรายังมีการตกแต่งด้วยโลหะผสมสีเงิน แบบสปอร์ตด้วย และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มด้วยหนังดีไซน์สหกรณ์
ขุมพลังแน่นอนว่าจะมีทั้งดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร OM654 M Mild Hybrid สร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถโดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษแบบ 48V technology โดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษพร้อม EQ Boost ให้กำลังถึง 20 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร และให้กำลังมากถึง 200 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 440 นิวตันเมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที ในรุ่น E220 d
เบนซิน Plug In Hybrid 2.0 ลิตร รหัส M254 ให้กำลังในภาคเครื่องยนต์ 204 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูง 320 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวให้กำลัง 129 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ส่งกำลังบำรุงด้วยแบตเตอรี่ใหม่ขนาด 25.4 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากถึง 313 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร
วิ่งไกลสุด100 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ทำความเร็วสูงสุดจากการขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าได้ถึง 140 กม./ชม. ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้า ชาร์จได้ทั้ง AC กระแสสลับ และ DC กระแสตรง ในรุ่น E350e ทั้งสองขนาดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering – wheel Gearshift Paddles)
และอาจมีเบนซินเทอร์โบคู่ V8 4.0 ลิตรในรหัส M177 ที่งานนี้มีความแรงให้เลือกถึง 2 ระดับ เริ่มตั้งแต่ 350 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 2,250-4,500 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG SPEEDSHIFT MCT 9G
มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Fully variable AMG Performance 4MATIC+ all-wheel drive และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่สามารถปรับได้ 5 โหมด ตั้งแต่ โหมด Classic, Sport, SuperSport, Track Pace และ Discreet ในรุ่น Mercedes-AMG E 55 4MATIC
หรือรุ่น E53 E-Performance ซึ่งน่าจะทำกำลังได้ประมาณ 680 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร Mercedes-Benz E-Class เจเนอเรชันใหม่จะเปิดตัว 25 เมษายน และจะมีรุ่น Estate เจนใหม่ทั้งแบบปกติและแบบลุย All-Terrain จะเปิดตัวหลัง 25 เมษายน ส่วนเมืองไทยเตรียมลุ้นได้เลยเพราะแน่นอน
ที่มา Motor 1