เปิดตัวในไทยที่แรกของโลกเวอร์ชันพวงมาลัยขวาสำหรับ MG Cyberster ที่เตรียมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยตั้งแต่เดือนหน้าในราคา 2.499 ล้านบาท
ล่าสุดออสเตรเลีย เป็นรายที่ 2 ต่อจากไทยที่จะเปิดตัวโดยเปิดรับจองล่วงหน้าหรือ pre-orders สำหรับ MG Cyberster หวนกลับมาทำตลาดอีกครั้งหลังเคยสร้างชื่อให้กับ MG TF และ MGB Roadster โดยได้ MGB Roadster เป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์โดยตัวรถมาในแบบโรสเตอร์เปิดประทุนตั้งแต่ไฟหน้า LED Projector แบบ Laser Belt ภายใต้คอนเซ็ปต์ Eye of the Storm
ด้วยกระจังหน้าเรียวยาวพร้อมตรา MG ในชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ต ด้านท้ายแบบ Kammback ชุดไฟท้าย LED Red Wing ด้วยเส้นไฟที่เรียวเล็กดูชัดเจนสุดล้ำ ไฟเลี้ยวรูปทรงลูกศรสปอยเลอร์หลังที่ฝังตัวอยู่ในชิ้นเดียวกันลงตัว กันชนหลังเสริมลิ้นสปอยเลอร์หลังสีดำ ประตูรถออกแบบมาเปิดแบบปีกนกหรือ Scissor Doors แบบปุ่มสัมผัสเปิด-ปิดสามารถกำหนดขนาดของมุมในการเปิด-ปิดได้ตั้งแต่ 30 ถึง 76 องศา และยังมีระบบเซนเซอร์เพื่อความปลอดภัยเมื่อทำการเปิดประตูในที่แคบ หลังคาเปิดประทุนซอฟต์ท็อป ที่ใช้เวลาเปิด-ปิดเพียง 10 วินาที
ล้ออัลลอยลาย Hacker Blade ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางหน้า 245/40R20 และยางหลัง 275/35R20 ตัวรถเริ่มที่ความยาว 4,535 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,913 มิลลิเมตร ความสูง 1,329 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,690 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 2,075 และ 2,210 กิโลกรัม
ภายในปรับดีไซน์ให้ใช้งานง่ายจับสะดวกตามสไตล์แบบ “Digital Fiber” โดยรวมของภายในจะคล้ายกับรถมัสเซิลคาร์แดนมะกันอย่าง Chevrolet Corvette C8 วางผังที่นั่งให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางด้วยสีทูโทน ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft touch ออกแบบตำแหน่งที่นั่งแยกฝั่งซ้ายขวาออกจากกัน แผงคอนโซลหน้ามีแผงจอแสดงดิจิทัลขนาดใหญ่ LCD แบบ Dashboard Triple-Screen เป็นทั้งมาตรวัดขนาด 7 นิ้ว จอสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว และขนาด 7 นิ้ว จำนวน 3 จอเรียงต่อกัน พร้อมระบบอัจฉริยะ i-SMART ระบบเสียงคุณภาพจาก Bose พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธและช่องเชื่อมต่อ USB เชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านกลับมาใช้แบบท้ายตัดหรือทรง D Shape ติดตราโลโก้ MG มีปุ่มโหมดการขับขี่ Super Sport สีแดง เบาะนั่งทรงสปอร์ต Y-Shape ออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ ใช้วัสดุพรีเมียมอย่างหนังแบบ Nappa สลับหนัง Alcantara เบาะคนขับและผู้โดยสารปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมบันทึกตำแหน่งได้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ปรับอุณหภูมิแยกอิสระระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งซ้ายและขวามีระบบ กรองอากาศ PM 2.5 Intelligent Smart Access ให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้อัตโนมัติเพียงการเหยียบเบรก และไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 64 เฉดสี
ขุมพลังเป็นแบบไฟฟ้าให้ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน lithium-ion battery ที่มีความจุแบตเตอรี่ 77 kWh แบบ ม Ultra-Thin Rubik’s Cube Battery มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อให้กำลังรวมมากสุด 544 แรงม้า แรงบิด 725 นิวตันเมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าให้กำลัง 204 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้าหลังให้กำลัง 340 แรงม้า สามารถวิ่งไกลสุด 503 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาต่ำกว่า 3.2 วินาที พร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System)
รองรับระบบการชาร์จ 2 รูปแบบทั้งแบบ Quick Charge และ Normal ด้วยความพร้อมของสถานีอัดประจุไฟฟ้ามีชาร์จแบบเร็ว Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 10%-80% ใช้เวลาประมาณ 26 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 140 kW ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge 0%–100% ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง รับรองที่สูงสุด 11 kW รองรับระบบ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ระบบระบายความร้อน Straight Waterfall Grid Oil Cooling Technology ที่มีประสิทธิภาพสูง แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) การกระจายน้ำหนักแบบ 49:51 ควบคู่กับการออกแบบลักษณะ Ultra- Low Centre of Gravity ที่ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเพื่อการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม พร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ Double Wishbone และด้านหลังแบบอิสระ Multi-link ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมคาลิปเปอร์สีแดง ที่ออกแบบมาเพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะ
พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM มากถึง 26 ระบบ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) ระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System) ช่วยเตือนการชน FCW และระบบช่วยเบรก AEB ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System) โดยผสานรวมระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) และ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เข้าไว้ด้วยกัน ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ช่วยเบรกขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Braking) ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
นอกจากนี้ ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME LIGHT)
มีสีภายนอกให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีแดง Flame Red สีเหลือง Photon Yellow สีบรอนซ์เงิน Bullet Silver สีเบจ Beige และสีเทา Grey ภายในห้องโดยสารเป็นแบบทูโทน โดยสีทูโทนดำ-แดงจะแมทซ์กับสีภายนอกสีแดง และสีเหลือง ส่วนสีทูโทน-เทาขาวจะแมทซ์กับสีภายนอกสีบรอนซ์เงิน เป็นต้น โดยเตรียมจำหน่ายที่ออสเตรเลียช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ คาดว่าราคาอยู่ที่ $100,000-$150,000 หรือราว 2,429,000-3,645,000 บาท เริ่มขายในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 544 แรงม้า
ที่มา Carsales