ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งปี สำหรับตลาดมอเตอร์ไซค์ก็ได้เปิดตัวมาให้เราได้สัมผัสกันแล้วหลากหลายรุ่น และในครึ่งปีหลังจากนี้จะมีรุ่นอะไรที่เตรียมจะขายไทยบ้างมาดูกันได้เลย
ตั้งแต่ต้นปีผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็มี มอเตอร์ไซค์ หลายค่ายหลากสไตล์เปิดตัวกันมาจำนวนไม่น้อยทั้งตั้งแต่เครื่องสันดาป ไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และภายในครึ่งปีหลังนี้จะมีรุ่นไหนแบรนด์อะไรที่เตรียมจะขายไทยบ้างมาดูกันได้เลย
1. Aprilia RS 457
Aprilia RS 457 มอเตอร์ไซค์ สปอร์ตตัวเริ่มไซส์กลางที่มาพร้อมกับหน้าตาอันหล่อเหลาด้วยชุดสีฟลูแฟริ่งแบบสปอร์ต ไฟด้านหน้า LED แบบโคมคู่แยกซ้ายขวา พร้อมสัญญาณไฟเลี้ยวในตัวและ ไฟ Daytime Running Light แผงหน้าปัด TFT สีเต็มรูปแบบขนาด 5 นิ้ว ควบคุมทิศทางด้วยชุดแฮนด์จับโช้คเติมเต็มความเป็นสปอร์ตไบค์ เบาะนั่งแบบ 2 ส่วนแยกชัดเจนระหว่างผู้ขับขี่ และผู้ซ้อน
2024 Aprilia RS 457 มาพร้อมขุมพลังจะเป็นเครื่องยนต์ 2 สูบขนาด 457cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้พละกำลัง 47 แรงม้า ที่ 9,400 รอบต่อนาที และแรงบิด 43.5 นิวตันเมตร ที่ 6,700 รอบต่อนาที และสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ RS 457 นั่นก็คือคันเร่งไฟฟ้าที่สั่งการตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างแม่นยำ พร้อมด้วยควิกชิฟเตอร์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างระบบควบคุมการยึดเกาะถนน 3 ระดับที่สามารถเปิด/ปิดการใช้งานได้ทั้งหมด และมีโหมดการขับขี่ 3 โหมดเป็นมาตรฐาน นอกจากนี้ตัวรถยังมีน้ำหนักเบาเพียง 175 กก. เท่านั้น
2. Royal Enfield Shotgun 650
Royal Enfield Shotgun 650 บ็อบเบอร์ครุยเซอร์ใหม่ล่าสุดใช้เฟรมเดียวกันกับ Super Meteor 650 และแผงหน้าปัดทรงกลมที่คุ้นเคยของ รอยัล เอนฟิลด์ และจอแสดงผล Tripper navigation ตัวรถจะมาพร้อมกับเบาะนั่งเดี่ยวแบบตอนเดียว ส่วนมิติตัวรถจะมีขนาดอยู่ที่ 820 x 2,220 x 1,105 (กว้างxยาวxสูง มม.) น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 240 กก. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 1,465 มม. ซึ่งแน่นอนว่ามันแคบกว่า Super Meteor 650
Shotgun 650 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สูบคู่ ขนาด 648cc ระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้กำลัง 46.3 แรงม้า ที่ 7,250 รอบต่อนาที และแรงบิด 52.3 Nm ที่ 5,650 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์หกสปีด ช่วงล่างด้านหน้าใช้โช้ค Showa Big Piston Forks แบบกลับหัวขนาด 43 มม. และหลังโช้คหลังแบบคู่ ปรับค่าพรีโหลดได้ ขณะที่ระบบเบรก ดิสเบรกหน้าขนาด 320 มม. และดิสเบรกหลัง ขนาด 300 มม. ทั้งคู่ใช้คาลิเปอร์จาก Bybre เสริมด้วย ABS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
3. Suzuki GSX-S1000GX
Suzuki GSX-S1000GX บิ๊กไบค์แบบครอสโอเวอร์ที่เชื่อมช่องว่างระหว่างรถสปอร์ตทัวเรอร์และรถมอเตอร์ไซค์แนวผจญภัยว่างระหว่าง GSX-S1000GT และ V-Strom 1050 โดยนำเสนอเครื่องยนต์ระดับซูเปอร์ไบค์พร้อมแชสซี ระบบกันสะเทือน ระยะห่างจากพื้นที่สูงขึ้น และตำแหน่งการขับขี่แบบหลังตรง สำหรับการออกทริปเดินทางไกล
GSX-S1000GX มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1,000 ซีซี แบบ DOHC 4 สูบ ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด แบบเดียวกับที่มาจาก GSX-R โดยทาง ซูซุกิ เคลมไว้ว่ามีกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 11,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 106 Nm ที่ 9,250 รอบต่อนาที ระบบ Suzuki Clutch Assist System และควิกชิพเตอร์ เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
4. Yamaha Zuma 125
Yamaha Zuma 125 สกู๊ตเตอร์ SUV ระดับเริ่มต้น ที่โดดเด่นด้วยความเป็นรถสกู๊ตเตอร์อเนกประสงค์ที่สามารถขับขี่ได้ทั้งในเมืองและเส้นทางสายผจญภัย มีความเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนที่ชุดไฟหน้าคู่ขนาดไม่เท่ากัน พร้อมด้วยเส้นสายตัวถังแบบ Boxy ให้การควบคุมที่ง่ายดายทุกสภาพการขับขี่ด้วยแฮนด์บาร์ทรงกว้าง นั่งขับขี่ได้สบายด้วยเบาะนั่งยาวตอนเดียวแบบสองระดับ และตำแหน่งวางเท้ากว้างมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
Zuma 125 มาพร้อมกับครื่องยนต์ Bluecore เจเนอเรชันใหม่ ขนาด 125 ซีซี. สูบเดียว 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขับเคลื่อนด้วยสายพาน V-Belt อัตราส่วนกำลังอัด 11.2:1 กระบอกสูบ DiASil และลูกสูบฟอร์จอะลูมิเนียมอัลลอยด์ น่าเสียดายที่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีพละกำลังและแรงบิดอยู่ที่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือมอเตอร์ไซค์คันนี้จะมาพร้อมกับระบบวาล์วแปรผัน VVA และมีความจุถังเชื้อเพลิงที่ใหญ่ถึง 6 ลิตร
5. Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1
Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสไตล์สปอร์ต และเน็กเก็ตไบค์ โดยการออกแบบภายนอกของทั้งสองรุ่นยังคงไว้ด้วย DNA จากรุ่นเครื่องสันดาปได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังเป็นที่จับตามองของเหล่าสาวกค่ายยักษ์เขียวชาวไทย เพราะเมื่อไม่นานนี้ที่งาน Motor Show 2024 ทางผู้บริหารได้เปรยมาคร่าวๆ ว่า ตัวรถจะมาในราคาประมาณ 250,000 – 270,000 บาท
สำหรับสเปคและแบตเตอรี่ของ Ninja e-1 และ Z e-1 จะเป็นสเปคเดียวกันคือ มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ขนาด 5 kW ส่งกำลังขับ 6.8 แรงม้า ที่ 2800 รอบ/นาที ให้พละกำลังสูงสุดที่ 9 kW หรือ 12 แรงม้า ที่ 2,600-4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40.27 นิวตันเมตร 0-1,600 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยโซ่ ส่วนแบตเตอรี่จะเป็น แบตลิเธียมไอออนขนาด 30Ah ให้แรงดันไฟฟ้า 50.4 V จำนวน 2 ลูก โดยจะเลือกชาร์จไฟผ่านตัวรถ หรือถอดแบตออกมาชาร์จข้างนอกก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ เพราะแต่ละก้อนจะมีน้ำหนัก 11.5 กก. ส่วนระยะเวลาชาร์จ 1 ก้อนจนเต็มจะใช้เวลาอยู่ประมาณ 3.7 ชั่วโมง
6. Honda Forza 750
Honda Forza 750 อีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนเฝ้าคอย โดยการออกแบบภายนอกตัวรถจะมีความใกล้เคียงกับน้องๆ ในตระกูล Forza ตั้งแต่คลาส 125cc. ไปจนถึงตัว 350cc. แต่มีความแตกต่างกันอยู่ที่ส่วนของไฟหน้าคู่พร้อม Daytime Running Ligh และเปลือกด้านหน้าที่ออกแบบได้อย่างโฉบเฉี่ยวแบบสปอร์ตสปอร์ตสกู๊ตเตอร์
Forza 750 ใช้พื้นฐานหลายๆ อย่างร่วมกับ X-ADV และ NC-750X โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 750 ซีซี SOHC 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งให้กำลังสูงสุดที่ 57.7 แรงม้า ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 69 Nm 7,000 รอบ/นาที และที่น่าจะเป็นจุดเด่นที่สุดของโมเดลคือชุดเกียร์ DCT ที่สามารถขับขี่ได้ทั้งแบบออโต้และสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
7. Yamaha XSR900 GP
Yamaha XSR900 GP สปอร์ตเฮอร์ริเทจที่ถอดแบบมาจากจากรถแข่งกรังด์ปรีซ์ยุค 80 โดดเด่นด้วยพาร์ทแฟริ่งใหม่สไตล์ปี 1980 พร้อมด้วยไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมที่ชวนให้นึกถึง TZR250 และ YZR500 OW01 นอกจากจะดูสวยงามแล้วชุดครอบด้านหน้ายังได้รับการพัฒนาแอโรไดนามิกอีกด้วย ส่วนของโครงสร้างใช้เฟรม Deltabox ของ MT-09 เป็นพื้นฐาน
มอเตอร์ไซค์ รุ่นนี้ใช้เป็นเครื่องยนต์สามสูบ 890cc ที่ให้พละกำลัง 119 แรงม้า ที่ 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 93 Nm ที่ 7,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด ด้านระบบรองรับแรงสั่นสะเทือนจะเป็นของ KYB ทั้งหน้า/หลัง โดยด้านหน้าเป็นโช้คอัพแบบหัวกลับขนาด 41 มม. และโช้คหลังแบบเดี่ยว สามารถปรับค่าพรีโหลดและการหน่วงการยุบตัว รวมถึงการหน่วงการคืนตัวได้ทั้งหน้าและหลัง ส่วนระบบเบรกโดดเด่นด้วยวงล้ออะลูมิเนียมแบบสปินฟอร์จน้ำหนักเบา
8. Honda Stylo 160
Stylo 160 สกู๊ตเตอร์พรีเมียม ดีไซน์ย้อนยุคสุดคลาสสิกมีพื้นฐานมาจาก Giorno 125 ที่วางตลาดในบ้านเราตัวรถใช้โครงเฟรมแบบ eSAF มาพร้อมไฟหน้ารูปทรงหกเหลี่ยม และเป็นระบบไฟ LED รอบคัน และไฟ DRL ตัวถังใช้เส้นสายการออกแบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่โดดเด่นตามแบบฉบับของสกู๊ตเตอร์พรีเมียมดีไซน์ย้อนยุค
Stylo 160 มาพร้อมกับครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 160cc. 4 วาล์ว ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้พละกำลัง 15.3 แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 13.8 นิวตันเมตร ที่ 7,000 รอบต่อนาที ส่วนของช่วงล่างภายใต้โครงเฟรม eSAF ที่น้ำหนักเบา และแข็งแรงทนทานถูกรองรับด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบเทเลสโคปิก ระบบกันสะเทือนหลังเดี่ยวด้านซ้าย ระบบดิสก์เบรกหน้าและหลังสำหรับรุ่นที่มี ระบบ ABS และระบบดิสก์เบรกหน้า – ดรัมเบรกหลังสำหรับรุ่น CBS พร้อมด้วย วงล้อขนาด 12 ทั้งหน้าและหลัง
9.Keeway V302N
Keeway V302N มอเตอร์ไซค์ แนวสตรีทไฟเตอร์ที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงดีไซน์ที่คุ้นเคยอย่าง Ducati Monster เน็กเก็ตสปอร์ตจากอิตาลี ได้รับการออกแบบที่ดึงดูดด้วยไฟหน้า LED ทรงกลมขนาดใหญ่ หน้าจอเรือนไมล์ LCD ดิจิตอลทรงกลม แฮนด์แบบทรงกว้าง และถังน้ำมันทรงโค้งนาบข้างด้วยช่องดักอากาศใหญ่เติมเต็มให้ตัวรถมีความดุดันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดโดดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนคือ เบาะนั่งแยกแบบสปอร์ต สวิงอาร์มเดี่ยว โครงเฟรมถักที่โชว์ให้เห็นเครื่องยนต์ ปลายท่อไอเสียคู่ และวงล้อสีแดงเพื่อให้ได้ลุคสปอร์ตเต็มพิกัด
V302N ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์จาก Benda Chinchilla 300 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สองสูบ V-Twin ขนาด 298cc 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยของเหลว ให้กำลังสูงสุด 29.5 แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 26.5 มม. นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยโซ่ ส่งพละกำลังผ่านชุดเกียร์ 6 สปีด พร้อมด้วยระบบสลิปเปอร์คลัตช์ ส่วนช่วงล่าง โช้คอัพหน้าหัวกลับและโช้คอัพหลังเดี่ยว สามารถปรับพรีโหลดได้ ระบบเบรกดิสก์เบรกหน้าขนาด 296.5 มม. และ ดิสก์เบรกขนาด 240 มม. ที่ด้านหลัง พร้อมระบบ ABS แบบ Dual Channel และวงล้อขนาด 17 นิ้ว
10. Honda EM1 e:
Honda EM1 e: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าตามวิสัยทัศน์ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2040 ของฮอนด้าที่เข้าสู่ท้องตลาดยุโรปเป็นที่แรก ก่อนขยายตลาดมาทางฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งในสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่น่าจับตามอง โดดเด่นด้วยขนาดเล็ก กระทัดรัด มาพร้อมด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัย ในสไตล์มินิมอล พร้อมระบบไฟ LED รอบคัน และหน้าจอ LCD แสดงข้อมูลข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน
EM1 e: ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 1.7 กิโลวัตต์ (ประมาณ 2.3 แรงม้า) และมีแรงบิดสูงสุดถึง 90 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 48 กม./ชม. ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Honda Mobile Power Pack น้ำหนัก 10.3 กก. ความจุ 50.3 โวลต์ ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่จะใช้เวลาหกชั่วโมงในการชาร์จจากแบตเตอรี่หมดจนเต็ม และ 160 นาทีจาก 25% เป็น 75% จุดเด่นอยู่ที่ แบตเตอรี่ Honda Mobile Power Pack ที่สามารถถอดออกได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพื่อนำออกไปชาร์จด้านนอก หรือสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ทันที นอกจากนี้แบตเตอรี่รองรับการชาร์จไฟได้มากกว่า 2,500 ครั้ง และสามารถชาร์จจากปลั๊กไฟบ้านได้อีกด้วย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ : car2day.com
Page Facebook : Car2Day
Youtube : youtube.com/@Car2day