รถใหม่ค่าย Suzuki เปิดตัวในปีมังกรหวังมอบความอรรถประโยชน์ ความคุ้มค่าเงินสูงสุดตอบโจทย์ครอบครัวในกลุ่มเอ็มพีวีเมืองไทยด้วย Suzuki XL7 Hybrid
และเป็นโอกาสอันดีที่ทีมงาน Car2Day ได้ทำความรู้จักกับ Multi-Dynamic Crossover พลังติดถ่านค่าย Suzuki อย่างจริงจังกับเส้นทาง กรุงเทพฯ-สวนผึ้ง ด้วยระยะทางทั้งหมด 280 กิโลเมตร
โดยรวมตัวรถยังคงเดิมแต่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเริ่มที่กระจังหน้าโครเมียมลายใหม่ที่เส้นแนวนอนออกแบบหนาขึ้นมีช่องระบายอากาศเล็กๆ เสริมคิ้วขอบกระจังหน้าส่วนบนและล่าง เสาอากาศแบบใหม่แบบเสาสั้นติดตรงหลังคารถ เปลี่ยนในส่วนคิ้วฝาท้ายดีไซน์ใหม่แนวยาวครอบทับฝาท้าย ส่วนบนแทนตำแหน่งคิ้วกรอบป้ายทะเบียน สัญลักษณ์ Hybrid ท้ายรถ
ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ คือ ไฟหน้า LED พร้อมไฟ Daytime Running Light ในโคมเดียวกัน สามารถปรับระดับองศาของไฟต่ำได้ ไฟตัดหมอกหน้า ในชุดกันชนหน้าทรงสีทูโทนตกแต่งใต้กันชนด้วยวัสดุสีเงิน ด้านข้างมีเอกลักษณ์ด้วยการออกแบบช่องลมเล็กๆข้างบังโคลนซ้าย-ขวา ฝากระโปรงหน้ารถออกแบบมีไสตล์เล่นระดับ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า ราวหลังคาสไตล์สปอร์ต เพื่ออรรถประโยชน์ในการบรรทุกสัมภาระมากยิ่งขึ้น
ด้านท้ายมีเส้นสายสะดุดตากับไฟท้าย LED แบบ Light Guides ไฟเบรกดวงที่ 3 ออกแบบให้คันหลังมองเห็นชัดเจนและมีสปอยเลอร์แบบ built In ในตัว รับกับกันชนหลังตกแต่งด้วยคิ้วสีเงินดำ ดุดันเท่อย่าบอกใคร เติมความเข้มด้วยซุ้มล้อสีดำ พร้อมล้ออะลูมิเนียมอัลลอยแบบทูโทนขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 195/60R16
พร้อมลุยทุกเส้นทางด้วยการเปลี่ยนตัวตนเป็นรถยกสูงทำให้มิติตัวรถมีความใหญ่โตขึ้นจากแพลตฟอร์ม HEARTECT ตั้งแต่ความยาว 4,450 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,775 มิลลิเมตร ความสูง 1,710 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 200 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร และน้ำหนักรถเพิ่มขึ้นอีก 20 กิโลกรัมเป็น 1,195 กิโลกรัม อาจเป็นว่ามีการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาดเล็ก
ภายในตกแต่งคอนโซลลายไม้ ผสมผสานกับดีไซน์คอนโซลหน้าแบบสปอร์ต มาตรวัดพร้อมจอ LCD ใหม่แสดงข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เข้มผสมความหรูด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านทรงท้ายตัด D-Shape แนวสปอร์ต มาพร้อมกับปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มสั่งการโทรศัพท์ เพิ่มความคล่องตัวให้กับการขับขี่ด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control ปรับระดับสูง-ต่ำได้แต่สามารถกปรับระยะใกล้-ไกลได้
พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้วยหน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว มาพร้อมฟังก์ชันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รองรับทุกการเชื่อมต่อความบันเทิงภายในตัวรถ มาพร้อมระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิตอล เชื่อมต่อ Bluetooth เชื่อมต่อสมาร์ตโฟน Apple CarPlay, Android Auto รวมไปถึงช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI ที่บริเวณคอนโซลหน้า
มีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) รองรับการชาร์จโทรศัพท์มือถือได้หลากหลาย พร้อมด้วยกล้องบันทึกภาพด้านหน้ารถ (Digital VDO Recorder) ช่วยบันทึกเหตุการณ์ในการขับขี่ ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสภาวะถนนและยังสามารถดูได้จากจอสัมผัส 10 นิ้ว ทันสมัยด้วยระบบ Keyless Push Start และ Keyless Entry ประตูเปิด-ปิดได้ โดยไม่ต้องกดกุญแจรีโมต รวมถึงกระจกมองข้างที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ให้ผู้ขับขี่สัมผัสความสะดวกสบายในการใช้งาน อีกทั้งช่องจ่ายไฟสำรอง 12V มากถึง 3 ตำแหน่ง
น่าเสียดายตรงที่กระจกมองหลังเป็นแบบธรรมดาไม่สามารถปรับลดการสะท้อนแสงได้และดีไซน์ยังย้อนกลับไปเหมือยรถยุค 90 ติดฐานกระจกตรงแผงหลังคาขึ้นรูปกำมะหยี่สีเทาอ่อน
กว้างขวางกับเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง หุ้มผ้าผสมหนังสังเคราะห์สีดำ ปรับสูงต่ำฝั่งคนขับได้ ด้านเบาะตอนที่สองปรับเอนและพับได้ 60:40 เลื่อนได้สุด 240 มิลลิเมตร ที่ยังให้ความสบายวางแขนแบบชิวๆ ตอนที่สามสองที่นั่งพับได้แบบ 50:50 สำหรับเด็กเล็กๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการขนสัมภาระ โดยมีพื้นที่ตอนพับเบาะ 550 ลิตร และถ้าพับตอนที่สองกับสามจะมีพื้นที่วางของทั้งหมด 803 ลิตร พร้อมเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์ราวบนแผงหลังคา และที่วางแก้ว 8 จุด
ขับเคลื่อนเร้าใจในการใช้งานประจำวันและต่างจังหัวดอย่างสนุกสนานด้วยพลังเบนซิน Mild Hybrid ขนาด1.5 ลิตร รหัสเดิม K15B ปริมาตรความจุกระบอกสูบเท่าเดิม 1,462 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ X ช่วงชักคงเดิมคือ 74.0 X 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัดเท่าเดิม 10.5:1 ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ทอร์คคอนเวอรเตอร์ ขับเคลื่อนล้อหน้า
พ่วงด้วยแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน 12V ครั้งนี้ขยายความจุใหญ่ขึ้นเป็น 10 Ah หรือ 0.12 kWh (เดิม ERTIGA Hybrid เป็น 6 Ah หรือ 0.072 kWh) จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก Integrated Starter Generator (ISG) ที่ช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์ถึง 3 แรงม้า แรงบิด 50 นิวตันเมตร ซุกไว้ใต้เบาะนั่งด้านหน้าฝั่งผู้โดยสาร
โดยระบบ SVHS (Suzuki Hybrid Vehicle System) ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ISG (Integrates Starter Generator) เป็นทั้งไดชาร์จและไดสตาร์ทในตัวทำงานในส่วนต่างๆเพื่อเก็บพลังงานที่เหลือจากการขับขี่มาใช้งานเช่นขณะถอนคันเร่งหรือเบรกปั่นเป็นกระแสไฟฟ้ากักเก็บไว้ใช้งานในแบตเตอรี่และเครื่องยนต์หยุดการทำงานรวมถึงตอนออกตัว
ส่วนการขับขี่ปกติและเร่งแซงเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน มีระบบเพิ่มแรงบิดชั่วคราวเพื่อให้ความมั่นใจในการแซง หรือ Torque Assisted Function ตอบสนองสมรรถนะการขับขี่ง่ายๆระบบนี้ช่วยในการเร่งแซงโดยทำงานร่วมกันทั้งแบตและมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์ทำงาน
ตลอดการขับขี่ กรุงเทพฯ-สวนผึ้ง ราชบุรี ภาพรวมตอบสนองน่าพอใจทั้งในความเร็วต่ำ กลาง สูง ไม่แรงมากไปไม่อืดมากไปแรงตามตัวของมันเอง
โดยจังหวะออกตัวชุด ISG ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่ เปลี่ยนตัวเองให้กำลังขับได้ในช่วงเวลาหนึ่งและสั้นๆเพียง 4-5 วินาที เพื่อให้รถออกตัวแบบนุ่มๆ ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อความประหยัด พอความเร็วเข้า 10 กิโลเมตรขึ้นไปเครื่องยนต์กลับมาทำงานระบบ ISG จะกลับมาทำงานอีกครั้งแต่ทำงานสั้นๆ เช่นเดียวกับตอนออกตัว และเครื่องยนต์กลับมาทำงานหลักตามเดิม
เมื่อชะลอความเร็วต่ำกว่า 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเข้าใกล้ไฟแดงหรือไหลไปจนหยุดนิ่งด้วยการเหยียบเบรก ระบบ ISG ทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าเข้ามาเก็บในชุดแบตเตอรี่ ให้กำลังไฟในการใช้ฟังก์ชันต่างๆในรถได้อย่างสบายๆทั้งแอร์ หน้าจอสัมผัส เครื่องยนต์จะยังทำงานควบคู่กันไป ร่วมกับระบบดับเครื่องยนต์ชั่วคราว Auto Start/Stop จะหยุดการทำงานสูงสุด 2-3 นาทีขึ้นอยู่กับความจุแบตช่วงนั้นมีประจุมากน้อยแค่ไหน สภาพแวดล้อม สภาพอากาศภายนอกและการตั้งค่าของแอร์ในรถและกลับมารีสตาร์ทอัตโนมัติ
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เมื่อมาทำงานร่วมกับชุด ISG เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลไม่กระตุก พวงมาลัยพาวเวอร์ยังเป็นแบบไฟฟ้ารัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร น้ำหนักดี ควบคุมบังคับง่ายวงเลี้ยวแคบดีมั่นใจอย่างมากถึงในวนเวลาเลี้ยวรถกลับยูเทิร์น
ช่วงล่างหน้าเป็นระบบแม็คเฟอร์สันอิสระพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริง เซตออกมานุ่มนวลมีกระด้างหน่อยๆ ขับในย่านความเร็วกลางๆเกือบสูง ยังมั่นใจกับการเข้าโค้งถึงจะหลุดโค้งไปนิดแต่ก็ควบคุมรถไม่ให้นอกลู่นอกทางเพราะส่วนหนึ่งกับความดีของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และป้องกันการลื่นไถล TCS ที่ไม่ยอมให้รถหลุดจากโค้งอย่างแน่นอน
ระบบห้ามล้อน่าเสียดายที่เป็นหน้าดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน หลังดรัมเบรกแบบฝักนำและฝักตามแต่ประสิทธิภาพน้ำหนักในการกดแป้นมากขึ้นถึง 20% ระยะการเบรกสั้นลงทันใจโดยผสานทั้งเบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD ควบคู่กัน ทางด้านอัตราสิ้นเปลืองของรถคันนี้นั่งกันสามคน มีเร่งความเร็วสูงบ้างในบางจังหวะ ผลออกมานั้น 11.1 กิโลเมตรต่อลิตรถือน่าพอใจ
ความปลอดภัยมาแบบพื้นๆด้วยถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า เบรก ABS EBD ช่วยกระจายแรงเบรก รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control จุดยึดเบาะสำหรับเด็ก ISOFIX และ Top tether กล้องมองภาพด้านหลังพร้อมเซนเซอร์กะระยะการจอดรถ เสริมความปลอดภัยด้วยระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
แม้การขับขี่โดยรวมคล้ายๆกับ Suzuki ERTIGA Hybrid เพราะเป็นรถพื้นฐานเดียวกันเน้นความสบายๆในการขับขี่ เร่งแซงค่อนข้างทันใจตามตัว เป็นรถไว้ใช้รับส่งลูกหลาน ซื้อของตามศูนย์การค้า และตัวรถที่คล่องตัวสามารถซอกแซกในทางแคบๆได้ ให้ความประหยัดเพิ่มขึ้นมาถ้าขับในเมืองอาจเจอ 13-15 กิโลเมตรต่อลิตรก็เป็นได้
ภายนอกแต่งดุดันสไตล์เอสยูวีด้วยสีทูโทนหลังคาดำสร้างความหล่อเท่ได้ไปในตัว กับภายในที่สบาย 7 ที่นั่งพรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานบันเทิงตลอดเส้นทาง เก็บเสียงดี
เสียตรงที่ความปลอดภัยให้มาน้อยควรให้ทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบห้ามล้อน่าจะให้ดิสก์เบรก 4 ล้อ สักนิดมาสักหน่อยก็จะดีถ้าตัดเรื่องออปชันที่ให้มาแค่นี้ เน้นการใช้งาน Daily Use ทั่วๆไปถือว่าคันนี้น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับ Suzuki XL7 Hybrid ในราคาพิเศษเพียง 799,000 บาท (ราคาปกติ 825,000 บาท)