หลังเผยสเปกตัวรถของ Toyota C-HR เจเนอเรชันที่สองโดยออสเตรเลียเป็นประเทศล่าสุดต่อจากยุโรปที่ได้จำหน่ายรูปแบบพวงมาลัยขวา
ล่าสุด Toyota ออสเตรเลีย เปิดราคาจำหน่ายถึงสามรุ่นย่อย เจเนอเรชันที่สองหล่อตั้งแต่ด้านหน้าคล้าย Toyota Prius เจเนอเรชันที่ 5 ไฟหน้า Full LED 4 ดวง รูปตัว C พร้อมไฟ DRL แบบ LED ในโคมเดียวกัน กระจังหน้าเป็นทรงห้าเหลี่ยมมีช่องระบายอากาศ กันชนหน้าดีไซน์แปลกตาพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED คิ้วขอบล้อดีไซน์เข้ากันกับตัวถัง ล้ออัลลอยลายหรูขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 225/50R19 และยังมีขนาด 17 นิ้วให้เลือก ที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียนกับตัวและที่เปิดประตูคู่หลังกลับมาเป็นแบบเดียวกันตามหลักสากล กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรงสปูน
ด้านท้ายมาพร้อมสปอยเลอร์หลังดีไซน์เล่นระดับพร้อมหลังคาดำยาวมาจนถึงเสา C และด้านท้ายทั้งหมดพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวติดตราตัวอักษร Toyota C-HR ด้านล่างเป็นตราสามห่วง พร้อมป้ายตรา HEV และ GR Sport รับกับกันชนหลังทรงสปอร์ต
สร้างจากแพลตฟอร์ม TNGA-C ขนาดตัวรถจะอยู่คั่นกลางระหว่างToyota Yaris Cross เวอร์ชันยุโรปที่เล็กกว่า C-HR และ Toyota Corolla Cross ที่ใหญ่กว่า C-HR เล็กน้อย ตั้งแต่ ความยาว 4,360 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,830 มิลลิเมตร ความสูง 1,558 มิลลิเมตร หรือ 1,564 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร
ภายในดูดีกว่าเจเนอเรชันที่แล้วด้วยชุดแผงคอนโซลหน้าออกแบบเป็นหนึ่งเดียวกับชุดแผงประตูมาพร้อมมาตรวัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วและจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และยังมีขนาด 7 นิ้วให้เลือก ในชุดแผงคอนโซลหน้าจะแยกกันสองจอ พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน ถัดลงมาด้วยช่องแอร์ใต้จอสัมผัสแนวนนอนและช่องแอร์ทรงกลามซ้าย-ขวา พร้อมสวิตช์เครื่องปรับอากาศแบบ Dual Zone ชุดคอนโซลกลางดีไซน์แนวนอนพร้อมที่วางแขนมีที่ชาร์จไร้สาย คันเกียร์ดีไซน์สั้นจับกระชับ และจอแสดงผลเหนือคอนโซลหน้า Head Up Display และลำโพงคุณภาพจาก JBL 9 จุดและลำโพงมาตรฐาน 6 จุด มาพร้อมความหรูหราด้วยไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 64 สี หลังคาพาโนรามิกเต็มบานที่ปรับสไลด์ กระดกขึ้นไม่ได้ เบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มกึ่งหนังแท้ หนังกลับ และผ้า พร้อมการเดินด้ายแต่ละสี เบาะนั่งหลังพับได้ 60:40 และการตกแต่งภายในสไตล์ GR
ขุมพลังที่ขายออสเตรเลียมีให้เลือกเฉพาะเบนซิน Hybrid เป็นขุมพลัง Dynamic Force นำมาจาก Toyota Prius เจเนอเรชันใหม่ เริ่มที่เบนซิน Dynamic Force Hybrid 2.0 ลิตร M20A-FXS พร้อมระบบฉีดจ่ายน้ำมันโดยตรง D-4S direct injection ควบคุมการเปิด-ปิด วาล์วไอดี VVT-iE electric variable valve timing 151 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาทีแรงบิด 190 นิวตันเมตรที่ 4,400- 5,200 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้ากำลัง 109 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังให้กำลังมากถึง 41 แรงม้า ในรุ่น AWD-i พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทำงานร่วมกันให้พลังมากสุด 198 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7.9 วินาที ขับเคลื่อนสี่ล้อ intelligent all-wheel drive (AWD-i) คู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ในรุ่น GR-Sport AWD-i
และเบนซิน Hybrid 1.8 ลิตร 2ZR-FXE 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิด 142 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาที ภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ล้อหน้ารุ่น 1VM 95 แรงม้า แรงบิด 185 นิวตันเมตร ได้แรงม้ารวม 140 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 9.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อนล้อหน้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ในรุ่น GXL และรุ่น Koba
พร้อมความปลอดภัยรอบคัน Toyota Safety Sense ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันการชนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมสัญญาณตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน Autonomous emergency braking Pedestrian detection Cyclist detection, ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane-keep assist, ตรวจสอบจุดอับสายตา Blind-spot monitoring, เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ทางแยก Junction assist , ควบคุมและปรับลดความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Adaptive cruise control,ตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับขี่ Driver monitoring camera, กล้องมองภาพรอบคัน Surround-view camera, สัญญาณเตือนกะระยะการจอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง Front and rear parking sensors และ Toyota Connected Services
Super Coupe จากค่ายสามห่วงมีให้เลือกถึง 6 สีตัวถังรถโดยราคาจำหน่ายไม่รวมค่าใช้จ่ายบนถนน หรือค่า on-road costs ตั้งแต่ $42,990- $54,990 หรือราว 984,000-1,255,000 บาททั้งรุ่นเริ่มต้น GXL, รุ่นรองท็อป Koba และรุ่นท็อปสุด GR Sport ประกอบที่โรงงาน search Toyota ประเทศตุรกีพร้อมขายออสเตรเลียต้นปี 2024
ที่มา Carsales
