ในที่สุด KIA เปิดตัวรุ่นปรับโฉมของ KIA EV6 อีวีไฟฟ้ารุ่นแรกของค่ายเกาหลีที่ได้รับการปรับลุคปรับความหล่อหวังพิชิตใจแฟนๆทั่วโลก
KIA EV6 ปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 3 ปี สิ่งที่เปลี่ยนไปเริ่มที่ กระจังหน้าออกแบบใหม่ทรงทึบสองสไตล์ พร้อมแถบไฟ DRL LED ประกบอย่างงดงามด้วยชุดไฟหน้า LED ใหม่ พร้อมไฟ DRL แบบ LED รูปทรงเลขเจ็ดกลับหัวเพรียวบางขึ้นคล้ายกับรุ่น K4 กันชนหน้าใหม่ดีไซน์สปอร์ตออกแบบช่องระบายอากาศใหม่สามช่องให้ใหญ่ขึ้นมีประสิทธิภาพในการระบายอากาศมากขึ้นในรุ่น GT-Line และดีไซน์ช่องระบายอากาศทรงห้าเหลี่ยมในรุ่นปกติ
ด้านท้ายคงเดิมทั้งดีไซน์เส้นไฟในโคมไฟท้าย Connected LED แนวยาวเรียวรูปตัวยูคว่ำ แต่กันชนหลังออกแบบใหม่มีลิ้นสปอยเลอร์หลังใหม่รวมถึงออกแบบเลี้ยวไฟถอยหลัง ไฟตัดหมอกหลังให้เล็กลงเส้นแนวนอน โดยมีดีไซน์สองแบบสองทั้งในรุ่น GT-Line และรุ่นปกติและล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/55R19 จาก Kumho Nexen และขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 255/45R20 ในรุ่น GT
ภายในปรับในส่วนระบบอินโฟเทนเมนต์เวอร์ชันล่าสุด ‘ccNC’ ในจอคู่ขนาดใหญ่สองจอ หรือ Panoramic curved display อยู่ในตำแหน่งลอยตัวและมาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้ว รองรับ Android Auto, Apple CarPlay ไร้สาย อัพเดทซอฟท์แวร์แบบ OTA จัดวางแบบลอยตัวควบรวมไว้ในกรอบเดียวกัน
มีระบบตรวจสอบลายนิ้วมือ จอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า HUD 12 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 2 ก้านดีไซน์ใหม่ปรับโลโก้ให้เล็กลงหุ้มหนังสีทูโทนตามสีภายใน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ไฟส่องสว่างภายใน ambient light 64 สี สีสันใหม่ด้วยกราฟิกที่มีความไดนามิกมากขึ้น
ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุมการทำงานของจอสัมผัสทั้ง เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาพร้อมแอร์หลังแบบ Intuitive digital controls คอนโซลเกียร์ใหม่ ออกแบบที่ชาร์มือถือไร้สายใหม่ออกแบบที่วางให้ยึดกับสมาร์ตโฟนไม่ไหลไปในทางใดทางหนึ่ง มีปุ่มสตาร์ทรถและปุ่มเกียร์ทรงกลม ดีไซน์ล้ำ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมปุ่ม Auto Hold มีระบบอุ่นเบาะ
สามารถสั่งสตาร์ทรถในระยะไกลได้ Remote Smart Parking เวอร์ชันใหม่พัฒนาให้มีความแม่นยำสูงในการทำงานเช่นสามารถล็อกรถอัตโนมัติในกรณีเดินออกจากรถและเดินออกไปในทิศทางอื่นพร้อมกระจกมองหลังแบบดิจิทัล เป็นได้ทั้งกระจกมองหลัง และกล้องมองหลังที่แสดงภาพจากกล้องหลังรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นด้านหลังได้กว้างกว่า และ มีลำโพงคุณภาพ Meridian 14 จุด
ขุมพลังพัฒนาใหม่แรงขึ้นด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 84 kWh (แทน 77.4 kWh) ในทุกรุ่น พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor เพิ่มระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้งมากขึ้นถึง 494 กิโลเมตรเดิม 475 กิโลเมตรในรุ่นมอเตอ์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังตามมาตรฐาน WLTP โดยให้กำลังเท่าเดิม 228 แรงม้าที่ 4,600–9,200 รอบต่อนาที แรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ 0-2,600 รอบต่อนาที คาดความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ วิ่งไกล 484-528 กิโลเมตร อ้างอิงตามมาตรฐาน WLTP ให้กำลังรวมสูงสุด 325 แรงม้าที่ 6,800-9,000 รอบต่อนาที แรงบิด 605 นิวตันเมตรที่ 0-4,000 รอบต่อนาที จากมอเตอร์ด้านหน้าให้กำลัง 101 แรงม้า แรงบิด 255 นิวตันเมตร และมอเตอร์ด้านหลัง 224 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 5.2 วินาที คาดความเร็วสูงสุด 188 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รุ่น GT ให้กำลังรวม 585 แรงม้าที่ 6,800-9,000 รอบต่อนาที แรงบิด 740 นิวตันเมตรที่ 0-4,200 รอบต่อนาที แบบมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD จากมอเตอร์ด้านหน้าให้กำลัง 218 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร และมอเตอร์ด้านหลัง ให้กำลัง 367 แรงม้า แรงบิด 390 นิวตันเมตรอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุด 405 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
ชาร์จให้เร็วขึ้นโดยชาร์จกระแสตรง DC ภายใน 18 นาที จาก 10-80% รองรับกำลังการชาร์จสูงสุด 350 kW ส่วนการชาร์จกระแสสลับ AC ชาร์จช้า รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW 7.20 ชั่วโมง หัวชาร์จแบบ CCS Type 2 และยังชาร์จ V2L สามารถต่อกระแสไฟ จากรถยนต์ไปพ่วงใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆได้ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 1 speed Reduction Gear สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้หลากหลายทั้งแบบ Normal Mode / ECO Mode / Sport Mode และ Smart Mode ช่วงล่างพัฒนาใหม่ปรับโช้คอัพให้มีความยืดหยุ่นถี่ขึ้นไวขึ้นเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่บนพื้นฐานช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ พร้อมเพิ่มวัสดุดูดซับเสียงรอบๆมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง
พร้อมเทคโนโลยี DRIVE WiSE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยแบบ Active Safety ช่วยให้คุณอุ่นใจตลอดทุกการเดินทางเพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้างแถวด้านหลังและปรับความหนาของเสา B เบื่องต้นเตรียมขายทั่วโลกเร็วๆนี้แต่ออสเตรเลียประกาศชัดเจนว่าจะมาช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ส่วนไทยจะมาหรือไม่ต้องติดตาม
ที่มา Carexpert