หลังจากเลื่อนการผลิตจากปี 2023 มาเป็นปี 2024 เหตุซอฟต์แวร์ของระบบ LiDAR ยังไม่เสถียรต้องพัฒนาจนมั่นใจว่าใช้งานได้และเกิดผลกระทบต่อลูกค้าให้น้อยที่สุดสำหรับ Volvo EX90
ล่าสุดปัญหาดังกล่าวได้คลี่คลายลงและพร้อมจะกลับมาขายเริ่มจากเมืองจีนหนึ่งในสองฐานผลิตต่อจากสหรัฐอเมริกาประกาศพร้อมที่จะเปิดตัวสำหรับ Volvo EX90
ภายนอกหล่อด้วยกระจังหน้าทรงทึบติดตราโลโก้ Iron Mark พร้อมขอบฝากระโปรงหน้าที่หนากว่าเดิม ไฟหน้า LED ใหม่ดีไซน์เอกลักษณ์ “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” (Thor Hammer) ที่เปิดประตูดีไซน์ซ่อนรูปเนียนกลมกลืนกับตัวถังรถ มีหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ติดตั้งสคูปเล็กๆบนหลังคาซึ่งเป็นการทำงานของระบบ LiDAR ไฟท้าย LED รูปตัวซี ล้ออัลลอยทูโทนลายแอโร่ห้าก้านขนาด 21 นิ้ว พร้อมยางหน้า 265/45R21 และยางหลัง 295/40R21 กับขนาดใหญ่สุด 22 นิ้ว พร้อมยางหน้า 265/40R22 และยางหลัง 295/35R22
ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์ม Scalable Product Architecture (SPA2) ดีไซน์ล้ำหน้ากว่ารุ่นอื่นๆของ Volvo ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.29 พร้อมมิติตัวรถตั้งแต่ความยาว 5,037 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,964 มิลลิเมตร ความสูง 1,744 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,985 มิลลิเมตร ความสูงจากใต้ท้องรถ 212 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 2,811 กิโลกรัม
ภายในทันสมัยด้วยคอนโซลหน้าดีไซน์เรียบง่าย คลาสสิกแบบรูปตัวทียาวด้วยแผงช่องแอร์แนวนอนซ้าย-ขวา จอสัมผัสแนวตั้งขนาดใหญ่ 14.5 นิ้วรองรับ Apple CarPlay ไร้สาย, Android Auto แบบ Android Automotive OS แสดงการนำทาง สื่อ ควบคุมโทรศัพท์ ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ
พร้อมชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8155 มี HUD บนแผงคอนโซลหน้าพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านดีไซน์ใหม่ แผงคอนโซลกลางที่ออกแบบใหม่ติดตั้งจอมาตรวัดแบบดิจิทัลบอกทั้งความเร็ว เส้นทางการขับขี่ ข้อมูลการจราจรและอื่นๆแนวนอนหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ เบาะนั่งยังคงแบบ 3 ตอน 7 ที่นั่งที่สบาย มาพร้อมลำโพง B&W 25 ตัว รองรับ DOLBY ATMOS พร้อมไฟ Ambient Light ผ่านลายไม้
ขุมพลังไฟฟ้าล้วนแบบมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ให้ความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดใหญ่ 111 kWh เลือกได้สองความแรงเริ่มที่รุ่น Twin Motor แรงสุด 408 แรงม้า แรงบิด 770 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 585 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ทำได้ 5.9 วินาที สามารถชาร์จกระแสตรง DC 10-80 % ภายใน 32 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 250 kW เพิ่มระยะทางมากขึ้น 610 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW ภายใน 11.30 ชั่วโมงเพิ่มระยะได้อีก 41 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รุ่นแรงขั้นเทพ Performance 517 แรงม้า แรงบิด 910 นิวตันเมตร โดยวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 580 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ทำได้ 4.9 วินาที สามารถชาร์จกระแสตรง DC 10-80 % ภายใน 32 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 250 kW เพิ่มระยะทางมากขึ้น 590 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW ภายใน 11.30 ชั่วโมงเพิ่มระยะได้อีก 39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังพร้อมความจุแบตเตอรี่ 104 kWh ให้กำลังสูงสุด 279 แรงม้า แรงบิด 490 นิวตันเมตร โดยวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 580 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ทำได้ 8.4 วินาที สามารถชาร์จกระแสตรง DC 10-80 % ภายใน 32 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 250 kW เพิ่มระยะทางมากขึ้น 600กิโลเมตรต่อชั่วโมง และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW ภายใน 11 ชั่วโมงเพิ่มระยะได้อีก 43 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งสามรุ่นทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาพร้อมระบบ LiDAR หรือ Light Detection and Ranging ตรวจจับวัดระยะทางของวัตถุและคนเดิน โดยการใช้แสงเลเซอร์ไปกระทบกับวัตถุแล้วคำนวณระยะทางด้วยระยะเวลาทำงานได้เร็วประกอบด้วย รวมถึงกล้องแปดตัว เรดาร์ 5 ตัว เซนเซอร์อัลตราโซนิก 16 ตัว เซนเซอร์ของระบบ LiDAR ตรวจจับคนเดินถนนด้วยระยะไกลสูงสุด 250 เมตร และชิปประมวลผล NVIDIA Orin
พร้อมระบบ Driver Understanding ตรวจจับรูปแบบการมองเห็นและพฤติกรรมการขับที่ประกอบด้วย กล้องที่ซ่อนภายในสองตัว พวงมาลัยแบบ Capacitive คอยตรวจจับสัญญาณความเครียด ง่วงซึมหลับใน ความว้าวุ่น ฯลฯโดยจะเริ่มจากการเตือนจนถึงเพิ่มระดับจนถึงขั้นสูงตามสถานการณ์นั้นๆ ถ้าผู้ขับขี่ไม่สามารถขับรถต่อได้จะเปิดไฟฉุกเฉินและพารถไปจอดข้างทางอย่างปลอดภัยแล้ว
พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวจีนและขายในเดือนตุลาคม 2024 และส่งมอบในเดือนพฤศจิกายนนี้ ประกอบที่ เมืองเฉิงตู ประเทศจีน ทางด้านเมืองไทยแน่นอนว่านำเข้าจากจีนจะเผยช่วงครึ่งปีหลังนี้จะทันเข้างาน Motor Expo 2024 หรือไม่ต้องติดตาม
ที่มา Autohome