ครั้งแรกของวงการรถกระบะไทยเเมื่อ BYD เตรียมส่งกระบะรุ่นแรกของค่ายกับพลังปลั๊กอินไฮบริดออกขายในไทยกับ BYD SHARK 6
BYD SHARK 6 หน้าตาไม่ต่างจากเวอร์ชันเม็กซิโกหรือออเสตรเลียด้วยดีไซน์ภายนอกดุแกร่งทั้งคันเทียบเท่าคู่แข่ง
ภายนอกเริ่มที่กระจังหน้าพร้อมตรา BYD ตัวบิ๊กล้อมกรอบด้วยไฟหน้าแนวตั้ง Dual LED ไฟหน้า DRL แบบ LED รูปตัว C บึกบึนกับชุดกับชนหน้าดีไซน์ลงตัวกับชุดกระจังหน้าสง่าด้วยหลังคารถแบบลอยตัวติดตั้งราวหลังคาและซันรูฟขนาดใหญ่ด้านข้างเด่นด้วยบันไดข้างดีไซน์กลมกลืนกับคิ้วขายล่างประตู
กระบะท้ายดุดันด้วยไฟท้าย LED แนวตั้งลากยาวแนวนอนในชุดกระบะท้าย กันชนหลังดีไซน์กลมกลืนกับตัวถังรถ พร้อมความจุกระบะภายใน 1,200 ลิตร พร้อมแหล่งจ่ายไฟ 220V (สูงสุด 6kW)
คิ้วขอบล้อทรงเหลี่ยมกับล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/65R18 สร้างจากแพลต์ฟอร์ม DMO super hybrid off-road platform สำหรับรถยนต์แนวลุยติดตั้งขุมพลังเสียบปลั๊กบนพื้นฐานแชสซีส์ขั้นบันได Ladder-Frame Architecture ตั้งแต่
- ความยาว 5,457 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,971 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,925 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 3,260 มิลลิเมตร
- ความสูงจากใต้ท้องรถ 230 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,710 กิโลกรัม
- ความจุถ้งน้ำมัน 60 ลิตร
ภายในมีออปชันมากมายทั้งคอนโซลหน้าดีไซน์แกร่งหุ้มหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังกชัน 3 ก้านยกมาจาก Leopard 5 จอแสดงผลบนคอนโซลหน้า Head Up Display ขนาด 12 นิ้ว จอมาตรวัดดิจิทัลแบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.8 นิ้วในชุดแผงคอนโซลหน้ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Apple CarPlay กับ Android Auto
พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hi BYD” แบบภาษาอังกฤษกับลำโพง 12 จุดจาก DYNAUDIO มีช่องเสียบ USB ทั้ง Type A และ Type C ช่องแอร์คู่ใต้จอสัมผัส เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมระบบฟอกอากาศประจุลบพร้อมกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ถึงระดับ CN95
คอนโซลเกียร์มาพร้อมหัวเกียร์สั้นจับกระชับพร้อมที่ชาร์จมือถือไร้สายกำลัง 50W เบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ระบบกุญแจ NFC ทำงานควบคู่กับ กุญแจแบบคีย์การ์ดพร้อมระบบ Keyless Start และเบานั่งสบาย 5 ที่นั่ง เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลัง 4 ทิศทาง กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบกันเสียงและกระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย
แรงและประหยัดด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Plug-In Hybrid DM-O ขนาด 1.5 ลิตร รหัส BYD476ZQF ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร พร้อมระบบ EHS (Electric Hybrid System) พ่วงแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ LFP ที่มีความจุ 29.58 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ Permanent magnet synchronous motor
โดยมอเตอร์หน้าให้กำลัง 231 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตรและมอเตอร์หลัง 204 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้ความแรงสูงสุด 437 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ชาร์จหนึ่งครั้งและน้ำมัน 1 ถังวิ่งไกล 800 กิโลเมตรและชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไกลในโหมดไฟฟ้าล้วนถึง 100 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ให้ความประหยัดน้ำมันถึง 12.65 กิโลเมตรต่อลิตรมีความสามารถในการลากจูงสูงสุด 2,500 กิโลกรัม ความสามารถในการบรรทุก 790 กิโลกรัมและใส่ของด้านท้ายจุถึง 1,450 ลิตร
ชุดแบตเตอรี่จะอยู่ในส่วนกลางของแชสซีส์สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อควบคุมด้วยไฟฟ้าจะตอบสนองเร็วขึ้นกว่าเดิม 100 เท่าชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 55 kW ใช้เวลาเพียง 20 นาที ชาร์จกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 7 kW ใช้หัวชาร์จแบบ Type 2/CCS Combo
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบกระจายแรงบิดแบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ถึงการส่งกำลังที่เหมาะสมและการควบคุมที่แม่นยำในทุกสภาพถนนด้วยมุมไต่ หรือ มุมปะทะ Approach angle 31 องศา และโหมดการขับขี่ลุยถึง 3 โหมดทั้ง Terrain Modes ทั้ง Sand, Mud และ Snow ลุยน้ำได้ 700 มิลลิเมตร
มีระบบดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking) เทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุดทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้มาพร้อมช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังแบบปีกนกคู่ (Double Wishbones) พร้อมระบบเบรกแบบเบรกดิสก์ระบายอากาศ ขับเคลื่อนโดยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ครบครันออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงได้แก่
- ช่วยเตือนการชนด้านหลัง Rear Collision Warning (RCW)
- ช่วยเตือนจุดอับสายตา Blind-Spot Monitoring (BSM)
- ช่วยเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross-Traffic Alert (RCTA)
- ช่วยเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตา Front Cross-Traffic Alert (FCTA)
- ช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Departure Warning (LDW)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist (LKA)
- ช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ Intelligent Cruise Control (ICC)
- เตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Fatigue Monitoring (DFM)
- ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC) Stop and Go
- ช่วยเบรกอัตโนมัติ Automatic Emergency Braking (AEB)
- ควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Departure Prevention (LDP)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Emergency Lane Keeping Assist (ELKA)
- เตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning (FCW)
- เบรกอัตโนมัติขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Brake (RCTB)
- ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู Door Open Warning (DOW)
- จดจำป้ายสัญญาณจราจร Traffic Sign Recognition (TSR)
- ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู Door Open Warning (DOW)
ความปลอดภัยพื้นฐานทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุด รวมถุงลมนิรภัยระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX เสริมแรงเบรกอัจฉริยะ เบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (VDC) ป้องกันการลื่นไถล (TCS) ควบคุมการกระจายแรงเบรก Electronic Brake force Distribution (EBD)
ควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน Hill Hold Control (HHC) ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา เซนเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้าและด้านหลังรวม 6 จุด ช่วยกระจายแรงเบรกอัจฉริยะ Hydraulic Brake Assist (HBA)
BYD SHARK 6 หวังท้าชนเต็มรูปแบบกับ 3 ตัวตึงของวงการกระบะตันครึ่งที่ทั่วโลกยอมรับทั้ง ISUZU D-MAX Toyota Hilux และ Ford Ranger เตรียมขายไทยช่วงปี 2025 คาดว่าประกอบที่โรงงาน BYD AUTO (Thailand) ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดถึง 150,000 คันต่อปีโดยมาพร้อมสีภายนอก 3 สี ได้แก่
- สีน้ำเงิน Deep Sea Blue
- สีดำ Tidal Black
- สีขาว Great White