แบรนด์รถจีนกำลังสร้างปรากฏการณ์ในตลาดยุโรปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าตลาด EV ในอเมริกาจะยังคงสับสน แต่ยุโรปกลับมีตัวเลือก EV ที่น่าสนใจในราคาที่จับต้องได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแบรนด์จีนที่กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็ว
ยอดขายพุ่งกระฉูด: BYD และ XPeng เติบโตมากกว่า 100%
- BYD เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นที่สุด โดยมียอดขายรวม 70,500 คันในครึ่งแรกของปี 2025 ซึ่งแซงหน้ายอดขายรวมทั้งปี 2024 ที่ประมาณ 57,000 คันไปเรียบร้อยแล้ว
- XPeng ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ยอดขายในยุโรปช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 8,400 คัน แซงหน้ายอดขายทั้งปี 2024 ที่ 8,100 คัน โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากรุ่น XPeng G6 ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับ Tesla Model Y
ความสำเร็จของทั้ง BYD และ XPeng มาจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น BYD ที่เปิดตัวรถยนต์ราคาประหยัดอย่าง Dolphin Surf และ Atto 2 หรือ XPeng ที่เพิ่มรุ่น G9 และ G6 เข้ามาในตลาด ทำให้มีตัวเลือกหลากหลายขึ้น
ในทางกลับกัน แม้ว่า Nio จะเป็นแบรนด์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่กลับมียอดขายในยุโรปเพียง 370 คันเท่านั้น สาเหตุอาจมาจากราคาที่สูงและขนาดรถที่ใหญ่เกินไป ทำให้ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวยุโรปที่คุ้นเคยกับแบรนด์หรูอย่าง BMW, Audi หรือ Mercedes มากกว่า
MG นำทัพยอดขายรวม, Stellantis เสียส่วนแบ่งตลาด
จากข้อมูลของ JATO Dynamics บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ พบว่าแบรนด์จีนกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะ MG ที่มียอดขายนำมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวนประมาณ 151,600 คันในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ยอดขายของ MG นี้รวมรถยนต์ทุกประเภท ทั้ง EV, PHEV และรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) อย่างรุ่น MG 3 ด้วย
ในขณะที่แบรนด์รถจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมในยุโรปอย่าง Stellantis (เจ้าของแบรนด์ Fiat, Peugeot, Citroën) กลับเสียส่วนแบ่งตลาดจาก 16.7% เหลือ 15.3% ภายในหนึ่งปี และหากรวมยอดขายของแบรนด์จีนทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็จะมีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกับ Mercedes-Benz ทั้งแบรนด์เลยทีเดียว
บทสรุป: ความท้าทายใหม่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป
ตัวเลขยอดขายเหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่าแบรนด์รถจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดบ้านเกิดอีกต่อไป แต่สามารถดึงดูดลูกค้าในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์เหล่านี้มีแผนจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีราคาเข้าถึงง่ายมากขึ้น และยังสามารถทำตลาดได้อย่างรวดเร็วกว่าผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปว่าการแข่งขันได้เปลี่ยนไปแล้ว
Source: InsideEVs