More

    DENZA N9 ลุคใหม่ตัวหรูปลั๊กอิน 1.3 พันกม.ขายจีนเริ่ม 1.749 ล้านบาท

    ทำตลาดเมืองจีนมาตั้งแต่ต้นปีสำหรับ DENZA N9 เอสยูวีหรูเรือธงพลังปลั๊กอินไฮบริดที่มีแววจะโกอินเตอร์บุกต่างประเทศทั้งพวงมาลัยขวาและซ้าย

    DENZA

    DENZA N9 เอสยูวีรุ่นเรือธงหวังท้าชนคู่แข่งร่วมชาติและต่างแดนอย่าง Mercedes-Benz GLS และ BMW X7 เปิดตัวรุ่นปี 2026 หรือ MY2026

    ภายนอกเดิมๆ

    กันชนหน้าออกแบบมุมซ้าย-ขวาเป็นรูปตัวซี ฝังไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ตรงขอบบนเน้นความทึบมากขึ้นพร้อมช่องระบายอากาศออกแบบให้ใหญ่ขึ้น คิ้วใต้กันชนหน้าสีเงินติดตรา DENZA ไว้ประกบกับไฟหน้า LED เติมความโหดขึ้นอีกขั้นและเซนเซอร์ LiDAR บนหลังคา

    ด้านข้างโดดเด่นกับคิ้วตกแต่งสีเงินเชื่อมระหว่างบังโคลนและประตูคู่หน้า กระจกมองข้างภายนอกมีดีไซน์แบบแบนราบคาดมาแบบกระจกมองข้างดิจิทัล และมีแบบปกติให้เลือก

    กระจกเสา C ไม่มีเสากั้นติดกับกระจกเสา D ติดตราโลโก้ DENZA ที่เปิดประตูเรียบเนียนกับตัวถังรถด้านท้ายลงตัวด้วยไฟท้าย LED แนวยาวคั่นกลางด้วยโลโก้ และกันชนหลังสีเดียวกับตัวรถส่วนล่างสีดำแบบลิ้นสปอยเลอร์และล้ออัลลอยลายหรูขนาด 22 นิ้วพร้อมยาง 275/45R22

    สร้างจากพื้นฐาน e-Platform 3.0

    ด้วยขนาดตัวรถคันนี้มีขนาดใหญ่และอาจมีขนาดใกล้เคียงกับ Li Auto L9 AITO M9 HYPTEC HL และ DEEPAL S09 ยาวกว่า Range Rover 250 มิลลิเมตร ในร่างฟูลไซซ์เอสยูวี เริ่มที่

    • ความยาว 5,258 มิลลิเมตร
    • ความกว้าง 2,030 มิลลิเมตร
    • ความสูง 1,830 มิลลิเมตร
    • ระยะฐานล้อ 3,125 มิลลิเมตร

    ภายใน 3 แถว

    มาแบบ 6 ที่นั่ง 2+2+2 พร้อมตู้เย็นอเนกประสงค์ จุขวดน้ำได้ 12 ขวด เบาะนั่งคู่หน้ามาแบบ Zero Gravity ออกแบบตามสรีระทั้งผู้ขับขี่แลผู้โดยสารปรับไฟฟ้าพร้อมระบบอุ่นเบาะและเบาะเย็น เบาะนั่งตอนที่ 2 แบบ 2 ที่นั่งแยกกันปรับด้วยระบบไฟฟ้า 14 ทิศทาง พร้อมที่พักขาปรับไฟฟ้า พร้อมระบบอุ่นเบาะและเบาะเย็น ระบบนวดและโต๊ะเล็กหลังเบาะคู่หน้า และตอนที่ 3 นั่งได้ 2 คนปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมพื้นที่สัมภาระด้านท้าย 351-1,140 ลิตร สามารถรองรับกระเป๋าใส่ไม้กอล์ฟ กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้ว 5 ใบ และเป้สะพายหลัง 5 ใบในแนวนอน หุ้มหนัง NAPPA

    โดยในรุ่น MY2026 มาพร้อมโทนสีใหม่สีน้ำตาล “Golden Mountain Brown” จากเดิมมี 2 สีทั้งเทา Platinum Grey และสีขาว Cloud Brocade Rice

    DENZA

    แผงคอนโซลหน้าดีไซน์ติดตั้งระบบจอด้วยกันถึง 3 จอประกอบด้วยชุดมาตรวัดดิจิทัลแบบ LCD 13.2 นิ้ว ชัดแบบ 2.5K จอสัมผัสเชื่อมต่อระบบความบันเทิงขนาดใหญ่แบบลอยตัว 17.3 นิ้ว มีจอสำหรับฝั่งผู้โดยสารขนาด 13.2 นิ้ว ชัดแบบ 2.5K  และจอแสดงข้อมูลการขับขี่เหนือคอนโซลหน้าหรือ HUD ขนาด 50 นิ้ว พร้อมจอแสดงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง และจอบนเพดาน 17.3 นิ้ว

    พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 4 ก้านปาดล่างแบบ flat-bottomed คอนโซลกลางมีหัวคันเกียร์ไฟฟ้าเป็นคริสตัล ติดตั้งที่ชาร์จสมาร์ทโฟนชาร์จจุใจถึง 2 เครื่อง กำลังชาร์จ 50 W เครื่องเสียงคุณภาพรอบคัน รวมในชุดคอนโซลหน้า และพนักพิงศีรษะด้านหน้า ร่วมสร้างความบันเทิงและประสบการณ์ที่น่าจดจำทุกการเดินทาง เสริมด้วยแสงไฟเพื่อสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารกว่า 128 เฉดสีและลำโพง DEVIALET 26 จุด

    ขุมพลัง Plug In Hybrid

    ด้วยเบนซินเทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร รหัส BYD479ZQA แรงสุด 207 แรงม้า แรงบิด 325 นิวตันเมตร ในภาคเครื่องยนต์คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าหนึ่งตัวให้กำลัง 272 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าหลังสองฝั่งให้กำลังฝั่งละ 327 แรงม้า แรงบิดสองฝั่งๆละ 360 นิวตันเมตร

    ชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 46.9 kWh จาก BYD Fin Dreams เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังรวม 925 แรงม้า แรงบิดรวม 1,035 นิวตันเมตร ชาร์จได้ทั้ง DC รองรับกำลังการชาร์จสูงสุด 100 kW 30-80% ชาร์จได้ภายใน 19 วินาที และชาร์จ AC ได้ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ทำได้ 3.9 วินาทีวิ่งไกลในโหมดไฟฟ้าล้วนมากกว่า 202 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 195 กิโลเมตร (NEDC) โดยวิ่งทั้งระบบทำได้ 1,302 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 1,256 กิโลเมตร (NEDC)

    DENZA

    ความปลอดภัยด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ EYE Of GOD B

    ตราสัญลักษณ์สีแดงด้านหลัง (Dipilot 300) ประกอบด้วยฟังก์ชัน : ระบบนำทางในเมืองแบบไม่ต้องใช้แผนที่และที่จอดรถ e³ Laser LiDAR 1 หรือ 2 จุด, ชิปขับเคลื่อนอัจฉริยะ: Orin-X ตัวเดียว พลังประมวลผลของชิป: 254 TOPS, จำนวนกล้อง 12 จุด,เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 จุด และ เรดาร์อัลตราโซนิก 12 จุด ทั้ง

    • ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
    • ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
    • ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
    • ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
    • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
    • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist)
    • ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
    • ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา (LCA/ BSD/ RCTA/ DOW)

    DENZA

    ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution) เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว EPS ป้องกันล้อหมุนฟรี ควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)

    ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)

    เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3 เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ

    ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้างหน้า-หลัง ม่านถุงลมนิรภัย หัวเข่ารอบคัน กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง

    DENZA

    DENZA N9 MY2026 มาพร้อมสีใหม่ สีเขียว-เงิน หลังคาทูโทนดำ รวมทั้งหมด 9 สี เปิดขายจีน 3 รุ่นย่อยในราคาเริ่มต้น 389,800- 449,800 YUAN หรือราว 1,749,000-2,019,000 บาท และเตรียมโกอินเตอร์ส่งขายไปยังต่างประเทศกลุ่มยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชีย ทั้งพวงมาลัยขวาและพวงมาลัยซ้าย โดยจะเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ต่อจาก DENZA D9 จับตารุ่นนี้จะเข้าขายไทยด้วยหรือไม่ต้องติดตาม

     

    ที่มา CarNewsChina

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts