ถึงแม้ว่า Formula E ซีซั่น 2021-22 จะยังคงใช้รถเก่าเวอร์ชั่นเดิมอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่มาใหม่คือ รูปแบบควอลิฟายที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยพวกเขาจะเริ่มจากแบ่งนักแข่งออกเป็นกรุ๊ปๆ และแข่งขันกัน 2 สเตจ ดังนี้
สเตจ 1 : กรุ๊ป
นักแข่งทั้ง 22 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ป กรุ๊ปละ 11 คน โดยจะแบ่งกรุ๊ปกันตามคะแนนสะสม คนที่อยู่ในอันดับเลขคี่จะถูกส่งไปยังกรุ๊ป A และคนที่อยู่ในอันดับเลขคู่จะถูกส่งไปยังกรุ๊ป B
สำหรับสนามแรกที่ดิริยาห์ พวกเขาจะแบ่งกรุ๊ปกันตามทีมเมท โดยทีมเมทของแต่ละทีมจะถูกส่งแยกกันไปคนละกรุ๊ป
ในแต่ละกรุ๊ปนั้นจะมีเวลา 12 นาที ในการให้นักแข่งทำเวลาที่ดีที่สุดของตัวเองโดยไม่จำกัดจำนวนรอบ และกำลังมอเตอร์ที่ใช้ได้ในสเตจนี้จะอยู่ที่ 220 kW ที่สำคัญนักแข่งทุกคนจะต้องเซตเวลาอย่างน้อย 1 รอบ ใน 6 นาทีแรก มิเช่นนั้นพวกเขาจะโดนลงโทษ
นอกจากนั้นนักแข่งยังมีตัวเลือกที่จะเข้าพิทมาเปลี่ยนยางในระหว่างเซสชั่นได้ โดยที่จะอนุญาตให้มีทีมช่างเพียง 4 คนเท่านั้นในการเปลี่ยนยาง
สเตจ 2 : ดูเอล
นักแข่ง 4 คนที่เร็วที่สุดในแต่ละกรุ๊ปจะได้ไปต่อในสเตจดูเอล ในสเตจนี้พวกเขาจะต้องมาแบทเทิลเพื่อทำการน็อคเอาท์ โดยแต่ละคนจะสามารถทำเวลาได้เพียง 1 รอบ และจะมีกำลังมอเตอร์ในรอบนี้ให้อยู่ที่ 250 kW ส่วนนักแข่งที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 4 คนที่เร็วที่สุดจะถูกเรียงลำดับกริดตามเวลาที่ได้กลายเป็นกริดที่ 9-22
จาก 8 คนข้างต้นจะถูกน็อคเอาท์ออกไปเหลือ 4 คน ใน 4 คนที่ได้ไปต่อก็จะแบทเทิลน็อคเอาท์กันเหลือ 2 คน สุดท้ายใน 2 คนนี้ใครทำเวลาเร็วที่สุด คนนั้นจะได้ตำแหน่ง Julius Baer Pole ไป
ในส่วนคนที่ถูกน็อคเอาท์ออกไปนั้น คนที่ถูกน็อคเอาท์ในรอบไฟนอลจะได้ตำแหน่งกริดที่ 2 คนที่ถูกน็อคเอาท์ในรอบเซมิไฟนอลจะได้กริดที่ 3 และ 4 โดยขึ้นอยู่กับว่าใครเวลาเร็วกว่ากัน และควอเตอร์ไฟนอลคนที่ถูกน็อคเอาท์ก็จะไล่เรียงอันดับตามเวลาที่ดีกว่าเป็นกริดที่ 5-8
So… how *exactly* will #FormulaE's new qualifying format work in 2022?
This graphic should give you all an idea ⬇️ pic.twitter.com/3jHIiQH3jN
— The Race (@wearetherace) January 24, 2022
อ้างอิง : wtf1.com , the-race.com