หลังจากที่ Ford Ranger กระบะแกร่งเจนใหม่เปิดตัวและจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยจำหน่ายเพียงแค่ Wildtrak กับ Sport
ล่าสุด Ford เสริมทางเลือกกับ Ford Ranger ด้วยการแนะนำรุ่นย่อยที่เน้นคนสู้งาน วัยรุ่นสร้างตัว และเถ้าแก่เจ้าของกิจการในรูปแบบสามตัวถังทั้งตอนเดียว แค็ปตอนครึ่งและสี่ประตู รุ่น XL,XL+ และ XLT ตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งานของลูกค้าได้อย่างเหนือชั้น ทั้งการขับขี่บนทางเรียบและออฟโรด รองรับการทำงาน การใช้ชีวิตกับครอบครัว หรือการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน
หน้าตาคล้ายกับ Ford Ranger รุ่น Wildtrak กับ รุ่น Sport เพียงแต่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นเริ่มที่ กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมสีดำใหม่พร้อมชุดแต่งตกแต่งโครเมี่ยมในรุ่น XLT ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ DRL แบบ LED รูปตัว C และไฟตัดหมอกหน้าในรุ่น XLT และมัลติรีเฟลกเตอร์ในรุ่น XL กับ XL+ ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 17 นิ้ว พร้อมยาง 255/70R17 ในรุ่น XLT กับขนาด 16 นิ้ว ทั้งแบบล้ออัลลอยและกระทะล้อ พร้อมยางขนาด 255/70R16 ในรุ่น XL+ และ XL STD 4×4 และกระทะล้อ 16 นิ้วแบบลดขนาดพร้อมยาง 215/70R16 ในรุ่น XL ขับสองมาตรฐาน บันไดข้างในรุ่น XL+,XLT ไฟท้ายสีขาวแดงแบบมัลติรีเฟลกเตอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และที่เหยียบข้างกระบะท้ายกับกันชนหลังในรุ่น XLT
ภายในอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีรอบด้านที่ดีเยี่ยมในเซ็กเมนต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว ซึ่งมาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC4A® รุ่นล่าสุดกับระบบ FordPass Connect ที่ไม่เพียงช่วยเชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิง แต่ยังแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถได้อย่างชัดเจน รองรับ Apple Car Play ไร้สาย Android Auto Bluetooth กับลำโพง 2 จุดในรุ่น XL ตอนเดียว, 4 จุด ในรุ่น XL กับ XL+ ทุกรุ่น และ 6 จุดในรุ่น XLT ทุกรุ่น พร้อมมาตรวัดดิจิตอลแบบสีขนาด 8 นิ้ว เบาะนั่งคนขับปรับสูงต่ำได้ 4 ทิศทางในรุ่น XL, XL+ หุ้มด้วยวัสดุผ้า และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน
พิเศษในรุ่น XLT เพิ่มความสบายด้วย แท่นชาร์จไฟไร้สาย กล้องมองหลัง ช่องต่อ USB บนกระจกมองหลัง เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาและช่องแอร์ด้านหลังในรุ่นสี่ประตู XLT พร้อมมาตรวัดดิจิตอลแบบสีขนาด 8 นิ้ว เบาะนั่งคนขับปรับสูงต่ำได้ 6 ทิศทาง หุ้มด้วยวัสดุผ้า และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน พร้อมควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ไล่ฝ้ากระจกหลัง
มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง รหัส P02Q ให้เลือกทั้งแบบ High-Power 170 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนสองล้อยกสูงและขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยในรุ่น XLT สามารถเลือกโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ normal, โหมดประหยัด, eco, โหมดถนนลื่น slippery, โหมดลากจูงและบรรทุก tow/haul ในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อกับขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเพิ่ม Terrain Management มาอีกสองโหมดคือ โหมดโคลน mud/ruts และโหมดทราย sand และดีเซลเทอร์โบเดี่ยว Mid-Power 2.0 ลิตร 150 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีดเลือกได้เฉพาะขับเคลื่อนสองล้อมาตฐาน
พร้อมความปลอดภัยเต็มคันทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้าทุกรุ่นและถุงลมนิรภัยรอบคันรวมด้านข้างกับม่านนิรภัย 6 จุด ในรุ่นสี่ประตู ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ในรุ่น XLT เกียร์อัตโนมัติยกสูงทั้งแค็บตอนครึ่งและสี่ประตู ขับเคลื่อนสองล้อยกสูง ให้ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ป้องกันล้อหมุนฟรี ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
โดยมีตัวเลือกสีภายนอก 4 สี ได้แก่ สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก, สีดำ แอบโซลูท แบล็ก, สีน้ำเงิน บลู ไลท์นิ่ง และสีขาว อาร์กติก ไวท์ในรุ่น XL, XL+ และ XLT ส่วนรุ่น XLT เพิ่มมาอีกหนึ่งสีนั่นคือ สีเทา เมทิออร์ เกรย์ โดยมีราคา ทั้งหมด 12 รุ่น ดังนี้
– Standard Chassis Cab XL 2.0L Turbo LR 5MT 554,000 บาท
– Standard Cab XL 2.0L Turbo LR 5MT 589,000 บาท
– Standard Cab XL 2.0L Turbo 4×4 6MT 697,000 บาท
– Open Cab XL 2.0L Turbo LR 5MT 635,000 บาท
– Double Cab XL 2.0L Turbo LR 5MT 732,000 บาท
– Open Cab XL+ 2.0L Turbo HR 6MT 699,000 บาท
– Double Cab XL+ 2.0L Turbo HR 6MT 792,000 บาท
– Open Cab XLT 2.0L Turbo HR 6MT 799,000 บาท
– Open Cab XLT 2.0L Turbo HR 6AT 844,000 บาท
– Open Cab XLT 2.0L Turbo 4×4 6MT 859,000 บาท
– Double Cab XLT 2.0L Turbo HR 6MT 889,000 บาท
– Double Cab XLT 2.0L Turbo HR 6AT 934,000 บาท