ในขณะที่ไทยมีรุ่นพิเศษ Ford Ranger Raptor Extra Pack ออกมาในราคา 1.984 ล้านบาทล่าสุดออสเตรเลียก็มีเช่นกันกับ Ford Ranger Raptor Desert Pack
Ford Ranger Raptor Desert Pack ปรับลุคเสริมความแกร่งจริงดุดันทุกสถานการณ์คล้ายรุ่น Extra Pack ด้วยสติกเกอร์ลายใหม่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแร็พเตอร์ แต่ชุดแต่งต่างจากไทยแน่นอนเพราะใช้ของดีตั้งแต่
- สปอร์ตบาร์สีดำสุดเข้มจาก ARB
- โคมไฟ 4 ดวงคาดบนหลังคารถส่วนหน้า Nacho Quatro จาก ARB
- ผ้ายางปูพื้นสีดำปักชื่อ Ford Performance กันฝุ่น กันน้ำ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
โดยชุดแต่ง Desert Pack ได้รับแรงบันดาลใจจากชัยชนะ 3 สมัยติดต่อกันของรถในรุ่น Stock Class ในการแข่งขัน Finke Desert Race อันแสนทรหด โดยจับมือกับ ARB ออกแบบชุดแต่งพัฒนาขึ้นมาสำหรับ Raptor โดยเฉพาะ และความร่วมมือกับ ARB ครั้งนี้ เราจึงมอบจิตวิญญาณแห่งสมรรถนะอันเหนือชั้นแบบเดียวกันนี้ให้กับลูกค้าที่ต้องการสมรรถนะและสไตล์ที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น
แม้อาจไม่ถูกใจสาวกจนต้องไปอัปเกรดเพิ่มทั้งรางเลื่อนเปิดปิดบนฝาท้ายไฟฟ้า Power Roller Shutter ที่ติดตั้งมาจากโรงงานไม่สามารถใช้งานร่วมกับสปอร์ตบาร์ ARB แม้ว่า Real Truck Power Roller Shutter (เดิมชื่อ Mountain Top) จะสามารถติดตั้งได้และเป็นออปชันเสริมมีจำหน่ายก็ตาม
ส่วนของโคมไฟ 4 ดวงคาดบนหลังคารถส่วนหน้า Nacho Quatro อาจทำให้ อาจทำให้วิทยุดิจิทัล DAB+ ไม่สามารถรับสัญญาณได้ และการใช้งานอุปกรณ์ไฟ 4 ดวงชุดนี้ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของรัฐและเขตปกครองของออสเตรเลียโดยเจ้าของรถควรตรวจสอบก่อนใช้งาน
โดยยังใช้ขุมพลังเดิมเบนซินเทอร์โบคู่ V6 ขนาด 3.0 ลิตร EcoBoost รหัส DD2S มอบพละกำลังถึง 397 แรงม้า ที่ 5,650 รอบต่อนาที และแรงบิด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที
มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter รุ่น 10R80 ซึ่งเกียร์แต่ละสปีดได้รับการตั้งค่าเฉพาะตัวแตกต่างกัน พร้อมเอาชนะทุกเส้นทางหฤโหด ไม่ว่าจะเป็นกรวด ดินลูกรัง โคลน หรือทราย มีระบบท่อไอเสียควบคุมไฟฟ้า Active Valve Exhaust ปรับระดับเสียงท่อ 4 โหมด ทั้ง
- Quiet – ออกแบบมาเพื่อตั้งค่าให้ท่อไอเสียเงียบมากกว่าการอวดสมรรถนะ เหมาะสำหรับการสตาร์ทรถตอนเช้าตรู่ เพื่อลดเสียงรบกวนเพื่อนบ้านหรือผู้คนในชุมชน
- Normal – ใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ไม่ดังเกินไปสำหรับการขับบนท้องถนน โดยจะเป็นค่าเริ่มต้นกับการขับขี่โหมดปกติ โหมดถนนลื่น โหมดโคลน และโหมดหิน
- Sport – มอบเสียงดังกระหึ่มขึ้น เมื่อต้องการเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจยิ่งขึ้น
- Baja – โหมดเสียงที่อวดความแรงสูงสุดทั้งความดังและความทุ้ม เสมือนระบบต่อตรงออกแบบมาสำหรับการขับขี่ออฟโรดเท่านั้น
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา Full Time ด้วยเกียร์ทรานสเฟอร์ควบคุมไฟฟ้าใหม่ล่าสุดที่ปรับได้ตามต้องการ และระบบดิฟล็อก 4 ล้อหน้า-หลัง พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิวด้วยโหมดการขับขี่ 7 โหมด Terrain Management System โดยใช้ระบบเกียร์ไฟฟ้าใหม่ที่ปรับได้ 2 ระดับ
มาพร้อมระบบควบคุมเฟืองท้ายคู่หน้าและหลังแบบ Locking Differential ครั้งแรก นับเป็นคุณสมบัติที่ตอบโจทย์คอออฟโรดตัวจริง โดยโหมดการขับขี่ 7 โหมดมีทั้ง
- Normal – เพื่อความสบาย ประหยัดเชื้อเพลิง และขับขี่สะดวก (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L)
- Sport – ตอบสนองไวขึ้นสำหรับการขับขี่บนถนนอย่างสนุกสนาน (ใช้ได้เฉพาะ 4A)
- Slippery – ให้ผู้ขับมีความมั่นใจในการขับขี่บนถนนลื่นหรือพื้นถนนที่ไม่สม่ำเสมอ (ใช้เฉพาะ 4H)
- Rock Crawl– มอบการยึดเกาะและการทรงตัวที่เหนือชั้นบนพื้นผิวที่ลื่นไถลได้ง่าย (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)
- Sand – ใช้ขับบนพื้นทรายหรือหิมะ เพิ่มประสิทธิภาพการส่งกำลังและการเปลี่ยนเกียร์ (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)
- Mud/Ruts – เพิ่มศักยภาพในการยึดเกาะขณะออกตัว รักษาการทรงตัวของรถ (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)
- Baja – เปลี่ยนเข้าสู่การขับขี่ด้วยความเร็วสูงเต็มสมรรถนะ โดยปรับทุกระบบให้พร้อมสำหรับการลุย
พร้อมช่วงล่างเด่นจากโช้คอัพ Live Valve Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้ว ของ FOX เท่และดุดันภายใต้ซุ้มล้อสีเทาเข้มสะดุดตาด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Performance All-Terrain BF Goodrich K02 High T285/70 R17
Ford Ranger Raptor Desert Pack จำนวนจำกัดเพียง 500 คัน มาเป็นแพ็คเก็จแต่งเพิ่มจากดีลเลอร์ไม่รวมในราคารถเพียง $5,990 หรือราว 129,000 บาท หลังจากนั้นจะวางจำหน่ายเป็นอุปกรณ์เสริมแยกชิ้นผ่านตัวแทนจำหน่าย (ราคารถ Raptor $90,690 ไม่รวมค่า On-Roads หรือราว 1,929,000 บาท)
ที่มา Carexpert


















