ตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2018 เป็นต้นมากระบะจอมซาดิสม์จากแดนมะกันเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทยกับชื่อ Ford Ranger Raptor
ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดกระบะแนวใหม่เรียกว่า High Performance Pickup หรือรถกระบะสมรรถนะสูงจากโรงงาน ที่มาปฎิวัติวงการกระบะชนิดที่ว่าเป็นต้นแบบให้กระบะค่ายอื่นๆได้ทำตามมาเสริมความแข็งแกร่งของความเป็นกระบะนิรภัยด้วยการจับรุ่นสี่ประตูเกิดมาแกร่งที่คนไทยคุ้นตาแต่งเติมความโหดสาดความเข้มอีกขั้นจนหมดรุ่นไปและ Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันใหม่สานต่อเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2022 และขายไทยเมื่อช่วงงาน Bangkok Motor Show 2022 ตลอดสี่ปีที่กระบะฮาร์ดคอร์แนวดุออกอาละวาดดันยอดขาย Ford Ranger รุ่นปกติดังพลุแตก เติบโตต่อเนื่องติดท็อปทรีกระบะยอดนิยมของไทย แบบไม่มีแผ่วและวันนี้จึงนำกระบะ Ford Ranger Raptor ทั้งเจเนอเรชันใหม่กับเจเนอเรชันที่แล้วมา Face2Face กันว่าเจ้าไดโนเสาร์สองเข้มใครกันจะดุดันไม่เกรงใจ
ภายนอกต่างดุดันต่างไม่เกรงใจกัน
แน่นอนแล้วว่า Ford Ranger Raptor ทั้งสองเจเนอเรชันใช้พื้นฐานเดียวกับรุ่นสี่ประตูขับเคลื่อนสี่ล้อเริ่มกันที่เจเนอเรชันใหม่พื้นฐาน T6.3 จับแปลงกายเป็นอสูรร้ายทางฝุ่นอย่างฉกาจด้วยซุ้มล้อที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มความกว้างของรถ ไฟหน้าใหม่รูปตัว C อันเป็นดีเอ็นเอ ตัวอักษร F-O-R-D ขนาดใหญ่บนกระจังหน้ากันชนที่เป็นอิสระจากกระจังหน้า ไฟหน้า Matrix LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime running lights แบบ LED เพิ่มประสิทธิภาพในการส่องสว่างขึ้นอีกระดับ โดดเด่นด้วยไฟเลี้ยวแบบไดนามิก ไฟสูงแบบตัดแสงและการปรับระดับแสงแบบอัตโนมัติเพื่อให้แสงสว่างที่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ รวมถึงผู้สัญจรที่ขับสวนทาง ล้ออัลลอยใหม่ขนาด 17 นิ้ว มาพร้อมยาง AT BFGoodrich® KO2® ขนาด T285/70R17 ดุดันภายใต้ซุ้มล้อที่สะดุดตา
ช่องลมข้างบังโคลนนอกจากความสวยงามและยังมีประโยชน์ด้านอากาศพลศาสตร์เช่นเดียวกับการออกแบบพื้นผิวทั้งหมด กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถขนาดใหญ่ออกแบบให้มองเห็นชัดขึ้นพร้อมไฟเลี้ยว LED ปรับพับได้ด้วยระบบไฟฟ้าและซ่อนไฟส่องใต้พื้นมาให้ ที่เปิดประตูดีไซน์ดึงก้านสีเดียวกับตัวรถ บันไดข้างดีไซน์ใหม่ทำจากอะลูมิเนียมที่แข็งแรง ช่วยเสริมรูปลักษณ์และฟังก์ชันการใช้งานให้กับรถ ไฟท้ายเป็นแบบ LED รูปเลขสาม กันชนหลังขึ้นรูปสีดำเข้ม สบายด้วยการเปิดปิดฝาท้ายแบบผ่อนแรง (Easy Lift) ช่วยผ่อนแรงเป็นการผสมระหว่างฝาท้ายกับทอรชันบาร์ติดตั้งใต้กระบะท้ายภายในกระบะท้ายมีไลเนอร์สีดำติดจากโรงงานรวมถึงช่องต่อไฟแบบ AC รองรับกำลังไฟถึง (400 W) 12 V และ 230 V เชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และทำงานร่วมกับขอบกระบะท้ายสามารถดัดแปลงใช้หนีบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ได้เช่นกัน สัญญาณกะระยะการจอดให้ครบทั้งหน้าและหลัง มีกล้องรอบคัน 360 องศาและ ตะขอลากจูงคู่หน้าและหลัง เพิ่มความสมดุลด้วยการใช้สายลากจูงสองเส้นเพื่อดึงรถขึ้นจากหลุมทรายลึกหรือหล่มโคลนได้
ส่วน Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันที่แล้ว พื้นฐานรหัส T6.2 เข้มคลาสิกด้วยชุดแต่งสีดำ ตั้งแต่กระจังหน้า ตัวอักษร F-O-R-D ขนาดใหญ่ ไฟหน้า Bi-LED พร้อมไฟ LED daytime ในโคมเดียวกัน ชุดกันชนด้านหน้าซึ่งติดกับเฟรมรถออกแบบให้มีความทนทาน แผงกันชนด้านหน้ายังมาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED พร้อมชุดหูลากคู่หน้ารถสีดำ ด้านข้างติดตั้งแก้มข้างคู่หน้าผลิตจากวัสดุคอมโพสิท ทนต่อการบุบกับรอยขีดข่วนถูกตีโป่งขยายออก กระจกมองข้างสีดำปรับพับด้วยระบบไฟฟ้าติดตั้ง ไฟเลี้ยวใต้กระจกมองข้างมีไฟ Welcome Light ไว้ส่องในยามกลางคืน ที่เปิดประตูเป็นก้านดึงสีดำ บันไดข้างผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง ล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 เสาอากาศเป็นเสาสั้น ด้านท้ายเรียบง่ายด้วยสติกเกอร์ Raptor มีไฟท้ายสีขาว-แดงใช้หลอดไฟธรรมดากระบะท้ายมีโลโก้ Ford วงรีสีน้ำเงินขนาดใหญ่ใส่กล้องมองหลัง กับคำว่า Raptor ข้างขวา และ คำว่า Ranger ด้านซ้าย โดยทั้งสองทำสัญลักษณ์เป็นตัวอักษรนูนสีดำ มือจับประตูสีดำพร้อมกุญแจล็อก ฝากระบะท้ายมีระบบผ่อนแรง (Easy Lift) เหมือนเจเนอเรชันใหม่ กันชนหลังสีดำพร้อมสัญญาณกะระยะการจอดสี่จุด ไฟเบรกดวงที่ 3 บนขอบหลังคารถ มีไฟส่องในกระบะท้ายในกระบะท้ายยังมีไลเนอร์สีดำในกระบะท้ายมีช่องต่อไฟ 12 V และชุดหูลากคู่ใต้กันชนหลังสีดำ
มิติตัวรถใหญ่เกือบทุกส่วน
มิติตัวรถ Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันใหม่ใหญ่ขึ้นทุกส่วน ตั้งแต่ ความยาว 5,360 มม. ความกว้าง 2,028 มม. ความสูง 1,926 มม. ฐานล้อ 3,270 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 272 มม. น้ำหนักรถ 2,510 กก. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร ลุยน้ำได้ 850 มม.
ทางด้าน Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันที่แล้วมีความยาว 5,398 มม. ความกว้าง 2,180 มม. ความสูง 1,873 มม. ฐานล้อ 3,220 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 283 มม. น้ำหนักรถ 2,324 กก. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร ลุยน้ำได้ 800 มม.
Ford Ranger Raptor ทั้งสองเจเนอเรชันใช้แพลตฟอร์มเดิม แต่เจเนอเรชันใหม่ขยับขยายตัวรถภายใต้การออกแบบขึ้นใหม่มีแชสชีสที่แข็งแกร่ง 3 ส่วนไม่ใช่ชิ้นเดียวคือเสียจุดไหนซ่อมจุดนั้นเหมาะกับความโหดดิบไปจนถึงโครงรถแบบพิเศษที่พร้อมรองรับแรงกระแทก และติดตั้งแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถที่มีขนาดใหญ่เกือบ 2 เท่าของขนาดปกติทำขึ้นจากเหล็กเหล็กที่มีความแข็งแรงหนา 2.3 มม.เมื่อเทียบมิติตัวรถทั้งสองเจนพบว่าความยาวของเจนใหม่สั้นกว่าเจนเดิมเพียง 38 มม. ความกว้างเจนใหม่ลดลง 100 มม. และความสูงจากใต้ท้องรถเจนใหม่ลดลงไป 11 มม. นอกนั้นใหญ่กว่าเจนเดิมตั้งแต่ความสูงๆกว่าเจนเดิม 53 มม. ฐานล้อยาวกว่าเจนเดิม 50 มม. น้ำหนักรถมากกว่าเจนเดิม 186 กก. ความจุถังน้ำมันแต่ลุยน้ำทางเจนใหม่ลึกกว่าเจนเก่าเพียง 50 มม.
ภายในเจนใหม่ไฮเทคแต่เจนเก่าใช้งานง่าย
แม้ภายนอกเป็นพระเอกมาดโหดซาดิส์ม ภายในก็ดุเจ็บไม่แพ้กับภายนอก ดีไซน์ไม่ต่างจากรุ่น Wildtrak แต่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้กับความเป็น Raptor อย่างแท้จริง มาโหดด้วยโทนสีส้ม ‘โค้ด ออเรนจ์’ บนแผงคอนโซลหน้ารูปตัวที ตัดขอบชิ้นส่วนหลักๆในห้องโดยสาร รวมถึงบนเบาะที่นั่งแบบสปอร์ตหุ้มกึ่งหนังแท้ Alcantara ดำ-ส้มปักชื่อ Raptor ปรับด้วยระบบไฟฟ้าคู่หน้า 10 ทิศทาง พร้อมดันหลังหรือ Lumbar Support ปรับไฟฟ้า เบาะหลังนั่งสบายด้วยตัวเบาะออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งเอนลงไปนิดนึงผลคือมีพื้นที่วางขาเหลือเฟือโดยตัวเบาะหลังพับแบบ 100 % กับหมอนรองศีรษะ 3 จุด ชุดรองนั่งสามารถพับขึ้นเพื่อบรรทุกของยาวๆกว้างๆเช่นทีวี ถุงกลอ์ฟ พร้อมที่วางแก้วในชุดที่พักแขนพร้อม ISOFIX สำหรับติดตั้งที่นั่งเสริมสำหรับเด็กเล็กๆ เข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งเสียดายว่าคู่หน้าปรับระดับไม่ได้โดดเด่นยิ่งขึ้นอีก
เมื่อเปิดไฟส่องสว่างสีส้มอบอุ่นภายในห้องโดยสาร เสริมความหรูหราอีกขั้นด้วยแผงคอนโซลหน้าสีดำขลิบส้มหุ้มหนังสัมผัสรูปตัวที พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังเกรดพรีเมียมจับกระชับมือพร้อมแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัยหรือ On-Centre Marker และแป้น Paddle Shift เคลือบแมกนีเซียม ปรับสูง-ต่ำ เข้า-ออกได้ 4 ทิศทาง พร้อมพรั่งด้วยปุ่มควบคุมการทำงานระบบไฟฟ้าแบบดิจิทัลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นมาตรวัดความชัดเจนสูงขนาด 12.4 นิ้ว หน้าจอแบบสัมผัสตรงกลางขนาด 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อและระบบความบันเทิงผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A® มีเมนูภาษาไทย รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS Android ระบบเสียง Bang & Olufsen® 10 ตำแหน่ง มอบประสบการณ์เสียงเหนือระดับและมีระบบนำทาง การใช้งานคล้ายๆกับรุ่น Wildtrak แรกๆมีมึนงง ส่วนตัวมองว่าก็ทันสมัยนะแต่บางฟังก์ชันที่จำเป็นเอาออกมาจากจอจะดีกว่าเช่นปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลังกับปุ่ม Auto Hold ที่วางแก้วมีให้หลายจุดรวมจุดแผงคอนโซลหน้าซ้าย-ขวา
ข้างล่างจะเป็นปุ่มการทำงานของเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา รายล้อมด้วยช่องแอร์แนวตั้งซ้าย-ขวา เก๋ดีกับที่ชาร์จมือถือไร้สาย ช่องต่อ USB คอนโซลเกียร์ดีไซน์ใหม่สั้นกระชับมือแบบ e-Shifter หุ้มหนังขลิบส้ม มีเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold ที่วางแก้วสองจุดข้างๆคอนโซลเกียร์ มีปุ่มกลมๆทำงานระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมปุ่มโหมดการขับขี่และปุ่มๆเล็กข้างๆปิดระบบ TCS ปิดสัญญาณกะระยะการจอดพร้อมกล่องคอนโซลกลางหุ้มหนังขลิบส้ม ข้างหลังมีช่องแอร์และช่องต่อไฟ 230 V (400W) หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จสมาร์ทโฟนใช้งานโน๊ตบุ๊กได้สบายๆ กุญแจรีโมทอัจฉริยะดีไซน์คุ้นตากับปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ และยังเอาใจคนชอบบันทึกด้วยช่องชาร์จไฟ USB บริเวณกระจกมองหลังอัตโนมัติ
ทางด้าน Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันที่แล้ว โดยรวมเหมือน Ranger Wildtrak แต่มีการปรับเปลี่ยนตรงใจขาโหด เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ต สีดำเดินด้ายน้ำเงินหุ้มหนัง Alcantara ปักโลโก้ Raptor ด้านคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางและดันหลังหรือ Lumbar Support ส่วนคนนั่งปรับด้วยคันโยกธรรมดา 6 ทิศทาง สบายโอบกระชับดีแม้ยามเดินทางไกลโดยตัวเบาะมีความหนาเป็นพิเศษรองรับด้านข้างแบบกระชับแถมดีกว่าเจนใหม่ เบาะนั่งด้านหลัง กว้างสบายพร้อมหมอนศรีษะ 3 ตำแหน่งแบบสีดำเดินด้ายน้ำเงินหุ้มหนัง Alcantara เอาใจคนทำงานด้วย ช่องต่อไฟ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง
แผงคอนโซลหน้าดีไซนเล่นระดับมาพร้อมวัสดุผิวสัมผัสสีดำเดินด้ายน้ำเงินพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ทรงพิเศษหุ้มหนังเดินด้ายน้ำเงิน ปรับสูง-ต่ำได้จุดเด่นด้วยแถบสีแดงติดบนพวงมาลัย On-Centre Marker จุดสังเกตตำแหน่งของพวงมาลัยทั้งตอนดริฟและเข้าโค้ง พร้อมสลักลายโลโก้ Raptor เอาใจคนอยากซิ่งด้วย Paddle Shift แบบเหนี่ยวไกแบบแมกนีเซียมอัลลอย ปรับสูง-ต่ำ แต่ปรับเข้า-ออกไม่ได้ พร้อมสวิตช์การทำงานกระจกมองข้าง สวิตช์เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟตัดหมอกปรับความสว่างมาตรวัดและสวิตช์เปิด-ปิดการทำงานไฟส่องสว่างใต้ชุดไฟเบรกดวงที่ 3 มาตรวัดเรืองแสงมาแบบจอสี TFT 5 นิ้ว บอกการทำงานของตัวรถ ระบบนำทาง เปิดคลื่นวิทยุ เปิดเพลง และนำทางแบบภาษาไทย ฯลฯ ใต้จอ TFT มีไฟบอกตำแหน่งเกียร์ โดยจอด้านขวาบอกความเร็วถึง 200 กม./ชม. และ วัดน้ำมัน ฝั่งซ้ายมือบอกรอบเครื่องยนต์ วัดอุณหภูมิ คอนโซลกลางมาพร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่แบบ Multi-Touch 8 นิ้วจอสี พ่วงความบันเทิง SYNC 3 ด้วย เมนูภาษาไทยอ่านง่ายเข้าใจง่ายรองรับ Apple CarPlay, Android Auto ระบบนำทาง แสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศฯลฯ
ถัดลงมาอีกคือปุ่มควบคุมการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบหมุน ปุ่มล็อกเฟืองท้าย ปิดระบบ TCS ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน คอนโซลเกียร์ทรงใหญ่จับกระชับด้วยวัสดุหุ้มหนัง กล่องคอนโซลกลางใส่ของจุกจิก ที่วางแก้วน้ำ กุญแจรีโมทอัจฉริยะปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแต่ว่าเบรกมือเจนนี้เป็นคันโยกโบราณ
ขุมพลังต่างกันแล้วแต่ความชอบ
Ford Ranger Raptor ทั้งสองเจเนอเรชันนี้ขุมพลังแตกต่างกันสิ้นเชิงงานนี้ Ford ทำสิ่งที่ท้าทายและต้องการให้เป็น Mustang เวอร์ชันยกสูง ใส่ขุมลพลังเบนซินด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร V6 รหัส DD2S 397 แรงม้า ที่ 5,650 รอบต่อนาที และแรงบิด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที ด้วยความจุกระบอกสูบ 2,956 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ/ระยะชัก 85.4X86 มม.กำลังอัด 10.5:1 ใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด e-Shifter รุ่น 10R60 ขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time ตลอดเวลา ติดตั้งดิฟล็อก 4 ล้อพร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว มาพร้อมระบบควบคุมเฟืองท้ายคู่ทั้งหน้า/หลัง แบบ locking differentials ควบคุมด้วยไฟฟ้า เติมน้ำมันเบนซินสูงสุด E20 นอกจากนี้ยังเพิ่มโหมดการขับขี่ Terrain Management ให้เลือกถึง 7 โหมด
ส่วน Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันที่แล้วยังเป็นดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร รหัส YN2Q ความจุกระบอกสูบ 1,996 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ/ระยะชัก 84X90 มม.กำลังอัด 16.1:1 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่น 10R80 ขับเคลื่อนสี่ล้อ Part-Time Shift On The Fly เหมือนกัน ระบบเฟืองท้ายแบบ Electronic Diff-lock ควบคุมด้วยไฟฟ้าเหมือนกัน แต่น้ำมันดีเซลเติมได้สูงสุด B20 เหมือนกัน และค่า CO2 ได้ 220 กรัม/กม. และมีโหมดการขับขี่ถึง Terrain Management 6 โหมดทั้ง โหมดปกติ Normal Mode, โหมดสปอร์ต Sport Mode, โหมด หิมะ กรวด และพื้นหญ้า Snow/Gravel/Gravel Mode, โหมดโคลน/ทราย Mud/Sand Mode และโหมด บาฮา BAJA Mode
การขับขี่เจนใหม่ดิบเถื่อนกว่าแต่เจนเก่าไม่น้อยหน้า
สำหรับสมรรถนะในการขับขี่ของเจ้า Ford Ranger Raptor เจนใหม่ นั้นต้องบอกตามตรงว่าให้ความรู้ที่แตกต่างจากรุ่นเดิมซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองเมื่อกดคันเร่งที่แม้จะมีจังหวะให้รอรอบอยู่นิดหน่อย แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาที หลังจากนั้นพลังมหาศาลที่แผ่ซ่านให้รู้ได้เหมือนกำลังขับซูเปอร์คาร์ในร่างกระบะ ทั้งแรงดึงที่จะฝังคุณติดอยู่กับเบาะ รวมไปถึงเสียงคำรามของเครื่องยนต์และเสียงท่อไอเสียอันเร้าใจ แอบคิดในใจว่านี่คือ Ford Mustang แค่ขับในโหมดธรรมดานะขอบอก ถ้าจะให้มันสุดๆลองปรับโหมดเล่นดูทั้งโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 7 โหมด หรือที่เรียกว่า Terrain Management ทำงานร่วมกับขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time มีทั้ง 2H, 4H, 4L และ 4A ได้แก่ โหมดการขับขี่ทางเรียบ On Road มีทั้ง โหมดปกติ Normal, โหมดสปอร์ต Sport ตอบสนองไวขึ้นสำหรับการขับขี่ ใช้โหมด 4A เข้าโดยอัตโนมัติ, โหมดทางลื่น Slippery มั่นใจในการขับขี่บนถนนลื่น ใช้เฉพาะโหมด 4H และกลับมาเป็น 2 H (โหมดใหม่แทนโหมด Snow/Gravel/Gravel)
โหมดการขับขี่ออฟโรด Off Road มีทั้ง โหมดหิน Rock Crawl ยึดเกาะและการทรงตัวที่เหนือชั้นบนพื้นผิวที่ลื่นไถลได้ง่ายโดยทำงานร่วมกับ 4L + ล็อกเฟืองท้ายคู่, โหมดทราย Sand ขับบนพื้นทรายหรือหิมะ สำหรับโหมด 4H, โหมดโคลน Mud/Ruts – เพิ่มศักยภาพในการยึดเกาะขณะออกตัว สำหรับโหมด 4H และ โหมดบาฮา Baja ขับขี่ด้วยความเร็วสูงเต็มสมรรถนะ โดยปรับทุกระบบให้พร้อมสำหรับการลุย
รวมไปถึงเสียงสนั่นจากปลายท่อที่ปรับให้เร้าอารมณ์ได้ตามต้องการถึง 4 โหมด โหมดเงียบ Quiet ที่ลดเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน,โหมดปกติ Normal ใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ไม่ดังเกินไปใช้ได้ทั้ง โหมดปกติ Normal โหมดถนนลื่น โหมดโคลน MUD และโหมดหิน ROCK, โหมดสปอร์ต Sport มอบเสียงดังกระหึ่มขึ้น เมื่อต้องการเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจและโหมดบาฮา BAJA สร้างเสียงคำรามอวดความแรงสูงสุด ต่อตรงออกแบบมาสำหรับการขับขี่ออฟโรดอย่างเดียว
อีกทั้งความสามารถในการส่งถ่ายกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัคิ 10 สปีดที่ราบรื่นแบบไม่มีแผ่วแบะไม่ยอมให้ม้าตกหล่นระหว่างทาง และสามารถโจนทะยานผ่านพิกัด 100 กม./ชม. ได้ด้วยเวลา 6.9 วินาที และทะยานสู่ความเร็วสูงสุดเกิน 180 กม./ชม. ได้สบายๆ ด้านอัตราสิ้นเปลืองนั้นบอกเลยถ้าคุณไม่หลงไหลไปกับอัตราเร่งสุดมันส์และตะบี้ตะบันเท้ากดคันเร่งจนมิดตลอดเวลา เจ้ายักษ์คันนี้ที่ใครหลายคนบอกว่ากิน ส่วนตัวปกติรับได้ขับดีแบบปกติไม่ต้องรีบร้อนไม่ต้องแข่งกับใคร ตัวเลขระดับ 10 กม./ลิตร ก็มีให้เห็นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าลองสวมบทสายบู๊เมื่อไหร่ 7, 6, 5 กม./ลิตร คือสิ่งที่คุณจะต้องเจอและควักเงินจ่ายค่าน้ำมันกันไปก่อนเวลาอันควร โดยในเมืองทำได้ 5.43 กม./ลิตร ส่วนนอกเมืองที่ไปกลับ อู่ทอง สุพรรณบุรี ทำได้ 8.52 กม./ลิตร
Ford Ranger Raptor เจนที่แล้วด้วยความเป็นดีเซลเทอร์โบคู่ 2 ลิตร โลดแล่นอย่างฉกาจฉกรรจ์ ทรงพลัง เร่งแซงฉับไวบนถนนทางยาวๆ ขึ้นเขาสูงหรือทางโหด มีอุปสรรค กำลังมาต่อเนื่องไม่ขาดตอน ตอนออกตัวจะสุขุมไม่กระโชกโฮกฮากกับพลังเทอร์โบคู่ที่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น อัตราเร่งตอบสนองได้ตั้งแต่เกียร์แรกยันเกียร์ 10 เสียงเครื่องยนต์เงียบกว่าเดิมในช่วงรอบต่ำจนถึงขับปกติ 60-110 กม./ชม.เพราะการออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้นพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร
ระบบเกียร์ 10 สปีดถ้าเข้าโหมด Manual ตัวเกียร์จะไม่เปลี่ยนให้ถ้าเราไม่สั่งหรือจะใช้โหมดอัตโนมัติตามปกติ สามารถควบคุมได้เต็มที่ หรือเปลี่ยนเกียร์ด้วย Paddle Shift สามารถเล่นได้ตั้งแต่โหมด D ปกติเลย การตอบสนองที่ดีขึ้น สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำแต่ระบบก็ยังกระโดดไปมาไม่เหมือนเจนใหม่เช่นเข้าเกียร์ 1 ไป 3, 2 ไป 4, 3 ไป 5 หรือ 4 ไป 6 ส่วนหนึ่งโครงสร้างเกียร์ทำมาจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง ส่วนโหมดการขับขี่ Terrain Management 6 โหมดทั้งก็จะมีความคล้ายกับ Raptor เจนใหม่ อัตราสิ้นเปลืองของคันนี้ นอกเมืองทำได้ 10.76 กม./ลิตร ส่วนในเมือง 8.78 กม./ลิตร เรียกว่าประหยัดกว่าตัวเบนซินเทอร์โบคู่ V6 อย่างไมต้องสงสัยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 11.69 วินาที
ช่วงล่างใช้ของดีแบรนด์ FOX
เมื่อมีช่วงล่างขั้นเทพยิ่งทำให้เจ้ายักษ์โลดโผนโจนทะยานได้อย่างมั่นใจทั้งทางตรงและทางโค้งที่ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ รวมถึงความนุ่มนวลที่มีมากกว่ารถกระบะทั่วไปชัดเจน ให้การตอบสนองที่ดีทั้งบนถนนดำและทางฝุ่น เช่นเดียวกับพวงมาลัยที่คมและแม่นยำทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ยิ่งเวลาซัดบนทางฝุ่นจนมีอาการลื่นไถลเมื่อสาดโค้งบนหินกรวดจนมีอาการท้ายออกเล็กน้อยก็สามารถแก้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นระบบควบคุมเสถียรภาพที่มีให้มาก็ไม่ยอมปล่อยให้รถเสียอาการมากจนเกินไป เรียกได้ว่ามีจังหวะให้รู้สึกสนุกตื่นเต้นแต่ไม่ปล่อยให้เกินเลยจนเกิดอันตราย นี่สิรถกระบะขั้นเทพของจริงจากการใช้โช้คอัพของค่าย FOX แบบไลฟ์ วาล์ว Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้วปรับแบบเรียลไทม์ปรับอัตโนมัติตามสภาพถนน และเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นผสม Teflon™ ที่ลดการเสียดสีลงได้ถึง 50 % เน้นความหนึบในทางเรียบและซับแรงกระแทกจากพื้นผิวขรุขระและทางลูกรังในการขับขี่แบบโหดได้อย่างดี ลดการสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของรถ พร้อมเทคโนโลยี Live Valve ปรับอัตราการดูดซับแรงสั่นสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของตัวรถโดยอัตโนมัติ เพิ่มประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
Ford Ranger Raptor เจนเก่า ใช้โช้คอัพของ FOX Racing Shox เป็นโช้คเป็นแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้นโดยใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มม. ทั้งสี่ต้น ทุกสภาพถนนทางยาวๆ ทางขุรขระ มีความนิ่งไม่โคลง แน่นปึ๊กหนึบนำนุ่มตาม สบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกจริง ความเร็วสูงไม่มีอาการท้ายออก แม้แต่ทางออฟโรดซับแรงกระแทกได้ดียิ่ง ถึงแม้ตัวรถจะสูงโย่ง
พื้นฐานช่วงล่างทั้งสองเจนช่วงล่างหน้าแบบปีกนก 2 ชั้นที่ทำจากอะลูมิเนียมพร้อมเหล็กกันโคลง โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แข็งแรงทนทานต่อการขับขี่แบบออฟโรดถึงขีดสุดและช่วงล่างด้านหลังแบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง
พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าทั้งสองเจนน้ำหนักดีไม่ว่าจะทางเรียบ ทางลุยมั่นใจควบคุมโค้งจิกเนียนๆ ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกสี่ล้อน้ำหนักการเหยียบเบรกจะหนักไปแต่ก็หยุดได้ค่อนข้างลึกแต่ก็หยุดฉับไวเมื่อเหยียบไป 25 % และยิ่งเป็นดิสก์สี่ล้อตามปกตินิสัยของมันต้องกะระยะรถคันหน้าดีๆ ถ้าเราไปชนเขาคงเดือดร้อนเรียกประกันมาเคลียร์ให้จบ ส่วนเจนที่แล้วห้ามล้อได้ทันใจไม่แม้ไม่กริ๊บเหมือนเจนใหม่
ความปลอดภัยมีให้เท่าๆกัน
Ford Ranger Raptor ทั้งสองเจนให้ความปลอดภัยคล้ายๆกัน ทั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อม Stop&Go และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering, เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam, ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection, เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support, ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System, ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning, ตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist และช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist,ตรวจวัดลมยาง
ความปลอดภัยพื้นฐานที่มี ถุงลมนิรภัย 7 จุด รอบคัน รวมถุงลมบริเวณหัวเข่า, ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน, ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ, ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP, ป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA, ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM, ควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC เบรกมือไฟฟ้า, สัญญาณกันขโมย, สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลังรวมกัน 8 จุด (หน้า 4 จุด หลัง 4 จุด)
Ford Ranger Raptor เจนที่แล้วมีทั้งระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนนซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection), ตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป, ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System), เตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control)
ความปลอดภัยพื้นฐานมีทั้ง ถุงลมนิรภัย 6 จุดรอบคัน, ระบบเบรก ABS, กระจายแรงเบรก EBD, ควบคุมการทรงตัว ESP, ป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist), ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน(Hill Descent Control), ควบคุมการทรงตัวเมื่อต้องลากจูง, ควบคุมการบรรทุก (Adaptive Load Control), เบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Assistance), กล้องมองหลัง, ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM, ช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assistและเซ็นเซอร์กะระยะการจอดรถหลัง 4 จุด)
สิ่งหนึ่งที่ Ford Ranger Raptor เจนที่แล้วขาดแต่เจนใหม่เติมเต็มด้วยกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา มีประโยชน์ในยามลุยไม่แพ้ตอนซิ่งทางเรียบการขึ้นลงเนิน ระวังหินก้อนใหญ่เบียดตัวรถ รู้ระดับน้ำที่จะลุยได้ สัมผัสถึงมุมมองในการขับขี่ในพื้นที่แคบที่ดีขึ้น ควบคุมทิศทางของพวงมาลัยและบังคับได้ดี
ส่วนต่างทั้งคู่ 170,000 บาท
Ford Ranger Raptor สองเจเนอเรชันถึงต่างกันที่หน้าตาความร้ายกาจกับภายในลุคส์สปอร์ตและขุมพลังที่เบนซินจะจัดจ้านกว่าแต่ดีเซลให้ความประหยัดพอสมควร แม้ทั้งคู่จะมีตัวตนที่คล้ายกันในบางจุดและต่างกันในบางจุดแต่อย่างน้อยก็คือกระบะ High Performance ที่สมสง่าควบได้ทั้งทางเรียบและทางโหด จนสาวๆแทบเหลียวมอง สำหรับ Ford Ranger Raptor 3.0 V6 Bi-Turbo 4×4 Double Cab ราคาอยู่ที่ 1,869,000 บาท มีให้เลือก 4 สีสุดเร้าใจ ได้แก่ สีดำ แอบโซลูท แบล็ก Absolute Black, สีขาว อาร์กติก ไวท์ Arctic White, สีส้ม โค้ด ออเรนจ์ Code Orange และสีเทา คองเคอร์ เกรย์ Conquer Gray
Ford Ranger Raptor 2.0 Bi-Turbo 4×4 Double Cab เจนที่แล้วราคาป้ายแดงตอนนั้นอยู่ที่ 1,699,000 บาท มีให้เลือก 4 สุดเร้าใจ ได้แก่ สีดำ แอบโซลูท แบล็ก Absolute Black, สีขาว อาร์กติก ไวท์ Arctic White, สีน้ำเงิน Performance Blue และสีเทา คองเคอร์ เกรย์ Conquer Gray ส่วนราคามือสองตั้งแต่ปี 2018-2022 จะเริ่มต้นที่ 1,100,000-1,300,000 บาทแล้วแต่ปีแล้วแต่สภาพ