More

    Ford Ranger Series กระบะแกร่งเคาะราคาที่ออสเตรเลีย เริ่ม 899,000 บาท

    หลังจากที่เมืองไทยเปิดตัวและประกาศราคาเป็นที่แรกของโลกกับยอดกระบะพันธุ์แกร่งทั้ง Ford Ranger และ Ford Ranger Raptor เจนใหม่

    Ford

    ล่าสุดออสเตรเลียเป็นประเทศที่สองต่อจากไทยเปิดราคาและรุ่นย่อยของ Ford Ranger และ Ford Ranger Raptor เจนใหม่ ด้วยหน้าตาไม่ต่างจากสเปคไทยทั้ง กระจังหน้าโฉมใหม่อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และไฟหน้าใหม่รูปตัว C เสริมภาพความดุดัน สะท้อนนิยาม ‘เกิดมาแกร่ง’ อย่างชัดเจน และเป็นครั้งแรกด้วยไฟหน้า Matrix LED และบันไดเหยียบข้างกระบะท้ายบริเวณด้านหลังล้อหลัง ทำให้การขึ้นกระบะท้ายสะดวกสบายยิ่งกว่าเคย ไฟท้าย LED แนวตั้งสวยงามและล้ออัลลอย 18 นิ้วพร้อมยาง 255/65R18 ขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 265/70 R17 และล้ออัลลอยกับกระทะล้อขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 255/70 R16 กระบท้ายออกแบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่จัดเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบได้หลากหลายรูปแบบและหลายขนาด และยังมีช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายที่มาพร้อมช่องต่อไฟแบบ AC รองรับกำลังไฟถึง 400 วัตต์ ให้คุณใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง หม้อหุงข้าว หรือเตาอบขนาดเล็กได้ง่ายๆ เพียงเสียบปลั๊กกับตัวรถ บันไดเหยีบบข้างกระบะท้าย

    ภายใน Ford Ranger เจนใหม่สะดวกสบายไปอีกขั้น อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุที่หรูหรา และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระมากกว่าเดิม แผงคอนโซลหน้าช่วยให้ หรูหรา ยังชาญฉาดยิ่งขึ้นด้วยระบบเชื่อมต่อการสื่อสารที่ช่วยให้คุณควบคุมและใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวกกว่าเดิมผ่านหน้าจอสัมผัสแนวตั้งขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว ที่เชื่อมกับกล้อง 360 องศา รวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A และแผงหน้าปัดดิจิทัลใหม่ที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยการแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถอย่างเต็มรูปแบบตามความต้องการของผู้ใช้งาน

    FordFord

    Ford Ranger Raptor เจนใหม่โหดดุดัน ทั้งซุ้มล้อที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มความกว้างของรถ ไฟหน้าใหม่รูปตัว C แบบ Matrix LEDพร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime running lights แบบ LED เพิ่มประสิทธิภาพในการส่องสว่างขึ้นอีกระดับ อันเป็นดีเอ็นเอของรถกระบะฟอร์ด ตัวอักษร F-O-R-D ขนาดใหญ่บนกระจังหน้ากันชนที่เป็นอิสระ ไฟสูงแบบตัดแสงปรับระดับแสงแบบอัตโนมัติเพื่อให้แสงสว่างที่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ล้ออัลลอยใหม่ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Performance All-Terrain BFGoodrich K02 High T285/70 R17 ซุ้มล้อสีเทาเข้มที่สะดุดตา ช่องลมข้างบังโคลนสีเทาเข้มมีประโยชน์ด้านอากาศพลศาสตร์นอกจากความสวยงาม บันไดข้างดีไซน์ใหม่ทำจากอลูมิเนียมที่แข็งแรง ด้านหลังใช้ไฟท้าย LED กันชนหลังสีเทาเข้มมีบันไดเหยียบเพื่อขึ้นกระบะท้าย และชุดลากในตัวที่ติดตั้งในตำแหน่งสูงเพื่อเพิ่มมุมจาก และกล้องรอบคัน 360 องศา

    Ford

    ภายในดุดันเบาะที่นั่งแบบสปอร์ตทั้งเบาะหน้าและหลัง ตกแต่งด้วยโทนสีส้ม Code Orange บนแผงหน้าปัด การตัดขอบชิ้นส่วนหลักๆในห้องโดยสาร รวมถึงบนเบาะที่นั่งแบบสปอร์ต โดดเด่นยิ่งขึ้นอีกเมื่อเปิดไฟส่องสว่างสีอำพันอบอุ่นภายในห้องโดยสาร เสริมความหรูหราอีกขั้นด้วยพวงมาลัยหนังเกรดพรีเมียมจับกระชับมือพร้อมแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัยหรือ On-centre mark กับแป้น Paddle Shift เคลือบแมกนีเซียม ระบบไฟฟ้าแบบดิจิทัลทั้งหมด ด้วยมาตรวัดดิจิทัลความชัดเจนสูงขนาด 12.4 นิ้ว จอแบบสัมผัสตรงกลางขนาด 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อและระบบความบันเทิงผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A®  รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ลำโพง 8 ตำแหน่ง มอบประสบการณ์เสียงเหนือระดับระหว่างการผจญภัยครั้งใหม่ และระบบ Ford Pass แท่นชาร์จไร้สาย

    FordFord

    Ford Ranger เจนใหม่ที่มีขุมพลังดีเซลเทอร์โบให้เลือกถึง 3 ความแรงพิเศษตั้งแต่ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร YMWQ 170 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ทางด้านดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร YN2Q 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที และใหญ่สุดกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 3.0 ลิตร Power Stroke 258 แรงม้าที่ 3,250 รอบ/นาที แรงบิด 597 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบ/นาที

    ระบบส่งกำลังสเปกออสเตรเลียขายเพียงแค่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่น 10R80 ในรุ่น 2.0 ลิตร และ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด e-Shifter รุ่น 10R80 ในรุ่น 3.0 V6 ให้เลือกทั้งรุ่นขับสองยกสูงและขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time ตั้งแต่ XL, XLS, XLT และ Wildtrak เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรทั้งเทอร์โบเดียวและเทอร์โบคู่ พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ normal, โหมดประหยัด, eco, โหมดถนนลื่น slippery, โหมดลากจูงและบรรทุก tow/haul ในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อกับขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมาพร้อม Terrain Management เพิ่มมาอีกสองโหมดคือ โหมดโคลน mud/ruts และโหมดทราย sand พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential

    ทางด้านรุ่น XLT, Sport และ Wildtrak เครื่องยนต์ 3.0 V6 มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ e-Shifter Full Time เกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case – EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System ทั้งโหมด Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery และยามลุยมีทั้งโหมด Sand, Mud/Ruts เฉพาะรุ่น Sport V6 และ Wildtrak V6 พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential

    Ford

    ส่วน Ford Ranger Raptor เจนใหม่ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร EcoBoost V6 เทอร์โบคู่ 397 แรงม้า ที่ 5,650 รอบต่อนาที และแรงบิด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาทีทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด e-Shifter มาพร้อมระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งใหม่ด้วยโช้คอัพ FOX แบบไลฟ์ วาล์ว Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้ว ซึ่งล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยใช้

    Ford

    ระบบท่อไอเสียควบคุมไฟฟ้าพร้อมโหมดปรับเสียงให้เลือกได้ถึง 4 โหมด ผู้ขับขี่จึงปรับระดับความดังเสียงท่อไอเสีย ให้มีความนุ่มนวลไปจนถึงเสียงกระหึ่มเร้าอารมณ์ได้ตามต้องการ โดย ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับความดังของท่อไอเสียได้เพียงกดปุ่มบนพวงมาลัย หรือเลือกโหมดการขับขี่ดังต่อไปนี้ โหมดเงียบ Quiet โหมดปกติ Normal โหมดสปอร์ต Sport และ โหมดบาฮา Baja พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time อัจฉริยะแบบเต็มเวลา (set-and-forget mode) ด้วยเกียร์ทรานสเฟอร์ควบคุมไฟฟ้าปรับได้ตามต้องการ และระบบดิฟล็อก 4 ล้อครั้งแรกพร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิวพร้อมระบบควบคุมเฟืองท้ายคู่หน้าและหลัง แบบ locking differentials และโหมดการขับขี่ 7 โหมดดังนี้ โหมดการขับขี่ทางเรียบ On Road มีทั้ง โหมดปกติ Normal โหมดสปอร์ต Sport โหมดทางลื่น Slippery กับ โหมดการขับขี่ออฟโรด Off Road มีทั้ง โหมดหิน Rock Crawl โหมดทราย Sand โหมดโคลน Mud/Ruts โหมดบาฮา Baja

    Ford Ranger เจนใหม่มีให้เลือกทั้งรุ่น Wildtrak 4WD, Sport 4WD, XLT, XLS และ XL ทั้งแบบตอนเดียวหัวกระสือ Open Cab หัวกระสือกับมีกระบะท้าย และ Double Cab Cab หัวกระสือกับมีกระบะท้าย ทั้งขับสองยกสูงและขับเคลื่อนสี่ล้อ ในราคาเริ่มต้น $35,930 – $70,190 หรือราว 899,000 – 1,759,000 บาท ไม่รวมค่า on-road costs

    สำหรับ Ford Ranger Raptor ราคา $85,490 หรือราว 2,142,000 บาท ไม่รวมค่า on-road costs  ขายทั้งหมด 23 รุ่นโดยส่งมอบตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป

    ที่มา Whichcar

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts